คู่มือการใช้


                                                 

ใช้คลอโรฟิลล์ บริสุทธิ์ 100 % เพื่อเป็นยารักษาโรคได้หรือไม่
คลอโรฟิลล์ที่ทางบ้านสมุนไพรนำเข้ามา อยู่ในรูปผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร จึงไม่สามารถตอบได้ว่าเป็นยารักษาโรค เนื่องจากถ้านำเข้ามาเพื่อเป็นยารักษาโรคจะมีราคาค่อนข้างแพงมากทำให้คนทั่วไปไม่สามารถใช้บริโภคได้ เพราะจุดประสงค์ การใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % ก็เพื่อทดแทนการบริโภคสารอาหารจากพืชผัก เนื่องจากปัจจุบันคนไทยรับประทานพืชผักไม่เพียงพอแก่ความต้องการของร่างกาย รวมทั้งการสั่งสมสารเคมีประเภทต่างๆ ไว้เป็นจำนวนมาก สารสกัดจากต้นอัลฟัลฟ่าในรูปของคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % จึงถูกนำมาใช้ทดแทนการขาดการบริโภคสารอาหารที่มีคุณค่าดังกล่าว การใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % คือ สารบริสุทธิ์แบบมีชีวิตจากธรรมชาติจึงเป็นทางเลือกเพื่อทำให้ร่างกายได้รับสารอาหารอย่างพอเหมาะอย่างต่อเนื่อง เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย ในปัจจุบันยังไม่มีตัวยาใดๆ ที่สามารถเพิ่มภูมิคุ้มกันของร่างกายได้ การใช้โภชนาการจึงเป็นหนทางที่ถูกเลือกดังนั้นการใช้สารอาหารจากธรรมชาติเพื่อเป็นยาจึงถูกนำมาใช้ ซึ่งตรงกับหลักปรัชญาของ ศาสตราจารย์ เอห์เรต ที่ว่า “ธรรมชาติอย่างเดียวเท่านั้น ที่เป็นผู้เยียวยารักษาโรคได้”
จงใช้อาหารเป็นยา อย่าใช้ยาเป็นอาหาร


ข้อแนะนำการใช้คลอโรฟิลล์ในการดูแลสุขภาพ

               ผลิตภัณฑ์ของบ้านสมุนไรชัยมงคลนั้น เป็นคลอโรฟิลล์ชนิดน้ำ ขวดสีเขียว คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 %เต็มสูงกว่ามาตฐานองค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา( FDA) ขนาด 473 มิลลิลิตร. (ขวดสีเขียว)
วิธีใช้โดยทั่วไป คือ ผสมคลอโรฟิลล์เข้มข้นขนาด 10 cc กับน้ำสะอาด 1.5 ลิตร ใช้ดื่มวันละ 2ครั้ง คือเวลาตื่นนอนตอนเช้าก่อนแปรงฟัน 1 แก้ว และก่อนเข้านอน 1 แก้ว

คำแนะนำ ที่ให้ดื่มคลอโรฟิลล์ตอนเช้าก่อนแปรงฟัน เพราะว่ากระเพาะของเราตอนนั้นกำลังว่าง ไม่มีน้ำย่อย กระเพาะอาหารสามารถดูดซึมคลอโรฟิลล์เข้าสู่กระแสเลือดได้เลยทันที แต่ถ้าเราแปรงฟันน้ำลายเราไหลออกมา น้ำย่อยในกระเพาะอาหารก็จะหลั่งออกมาด้วย คลอโรฟิลล์จะไปจับเอากรดของน้ำย่อย ทำให้ความเข้มข้นของคลอโรฟิลล์น้อยลง เหลือเพียงบางส่วนที่ดูดซึมเข้าเส้นเลือดได้
                                               อาการป่วยที่ใช้คลอโรฟิลล์แล้วได้ผลดีได้แก่
                    เพื่อให้การใช้คลอโรฟิลล์ในการฟื้นฟูสุขภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเห็นผลอย่างรวดเร็ว จึงขอแนะนำวิธีใช้ให้เหมาะสมกับโรคต่าง ๆ ดังนี้

       1. ริดสีดวงทวาร เกี่ยวข้องกับการเกิดภาวะความดันโลหิตในหลอดเลือดดำสูง มาจากสาเหตุต่างๆ เช่น การเบ่งถ่ายอุจจาระ ท้องผูก ท้องเดินบ่อยๆ การนั่งนานๆ การตั้งครรภ์ ความอ้วน การรับประทานอาหารที่มีกากใยน้อย ไอเรื้อรัง เป็นต้น นอกจากนี้ยังพบร่วมกับโรคในช่องท้อง เช่น ภาวะตับแข็งทำให้ความดันในหลอดเลื B9ตับสูง ซึ่งส่งผลกระทบไปที่หลอดเลือดดำบริเวณทวารหนัก ก้อนเนื้องอกในช่องท้อง มะเร็งลำไส้ใหญ่ ต่อมลูกหมากโต เป็นต้น
อาการของริดสีดวงทวาร ส่วนมากจะมีเลือดออกทางทวารหนัก เป็นเลือดสีแดงสดเกิดขึ้นขณะถ่ายอุจจาระ อาจสังเกตมีเลือดปนเปื้อนกระดาษชำระ หรือปนมากับอุจจาระ หรือมีเลือดไหลออกเป็นหยดโดยไม่รู้สึกเจ็บแต่อย่างใด บางรายอาจรู้สึกเจ็บที่ทวารหนักและถ่ายอุจจาระลำบากหรืออาจมีอาการคันบริเวณทวารหนัก ถ้าถ้าริดสีดวงทวารอักเสบหรือหลุดออกมาภายนอก อาจทำให้รู้สึกปวดอย่างรุ่นแรงจนถึงกับนั่ง ยืนหรือเดินไม่ดวก และคลำเจอก้อนเนื้อนุ่มๆ สีคล้ำๆ ที่ปากทวารหนัก และถ้ามีอาการเลือดออกมากและเรื้อรัง อาจทำให้เกิดอาการซีดและมีภาวะโลหิตจางได้

          ให้ใช้สารสกัดคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ เริ่มต้นที่ ปริมาณ 5 ซีซี ผสมน้ำสะอาด 1.5 ลิตร ในสัปดาห์แรก 5 -7 วัน โดย ดื่มแทนน้ำตลอดทั้งวัน ต่อมาให้ใช้สารสกัดคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ ปริมาณ 15 ซีซี ผสมน้ำสะอาด 1.5 ลิตร ดื่มแทนน้ำตลอดทั้งวัน
                   ช่วงวันที่ 1 - 7 อาการในช่วงนี้ติ่งเนื้อจะค่อยๆ กลับคืน อาการขับถ่ายอุจาระและมีเลือดที่ไหลจะเริ่มลดน้อยลง อาการบวมน้ำจะลดลง หรือพบริดสีดวงทวารฝ่อตัวลง
          ช่วงวันที่ 8-20  การขับถ่ายอุจจาระมีเลือดออกและอาการเจ็บทุเลาลง ริดสีดวงมีการฝ่อตัวลงบ้าง อาการคันลดลง แต่ระยะเวลาการใช้ไม่เท่ากันในแต่ละคน ทั้งนี้ขึ้นกับอายุ ความรุนแรงของอาการและระยะเวลาที่เรื้อรัง
          ห้ามทานอาหารทำลายกระดูก ได้แก่ น้ำปลา ผงชูรส น้ำอัดลมที่มีสีดำ ผักและผลไม้
ควรดื่มน้ำมากๆ รับประทานผัก ผลไม้ที่มีเส้นใยสูง หลีกเลี่ยงของทอด และอาหารประเภทที่ทำให้เกิดอาการ้อนในง่ายเพื่อลดอาการท้องผูก หลีกเลี่ยงการเกาหรือถู หลังการขับถ่ายให้ทำความสะอาดโดยใช้กระดาษชำระชุบน้ำทำความสะอาด ไม่ควรใช้ยาระบายติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน อย่านั่งถ่ายอุจจาระนานเกินความจำเป็น เพราะจะทำให้เพิ่มความดันของหลอดเลือดดำบริเวณทวารหนัก
          2. โรคกระเพาะอาหาร โรคกระเพาะอาหารหมายถึงภาวะที่มีแผลเยื่อบุกระเพาะ และลำไส้ถูกทำลายถึงแม้ว่าจะเรียกว่าโรคกระเพาะ แต่สามารถเป็นได้ทั้งที่กระเพาะ และลำไส้ ว่า ถ้าเป็นเฉพาะเยื่อบุกระเพาะเรียก >gastritis แต่ถ้าเป็นแผลถึงชั้นลึก>muscularis mucosa เรียก ulcerถ้าแผลอยู่ที่กระเพาะเรียก >gastric ulcerถ้าแผลอยู่ที่ลำไส้เล็กเรียก>duodenal ulcer โรคกระเพาะพบได้ทุกวัย สาเหตุของการเกิดโรคกระเพาะมีมากมาย แต่เชื่อกันว่า สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากมีกรดในกระเพาะอาหารมาก และเยื่อบุกระเพาะอาหารอ่อนแอลง การทำลายเยื่อบุกระเพาะอาหาร เกิดจาก  การกินยาแก้ปวด ลดไข้ แก้ปวดกระดูก ปวดกล้ามเนื้อ ยาชุดที่มีแอสไพริน และยาสเตียรอยด์ ยาลูกกลอนต่างๆโดยเฉพาะสารที่ระคายกระเพาะ เช่น ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAID แม้วว่าจะให้ยาโดยการฉีดหรืออมใต้ลิ้นก็มีโอกาสเกิดแผลที่กระเพาะ เนื่องจากนี้จะไปกระตุ้นให้เกิด cyclooxigenase II (Cox II) ซึ่งจะทำให้เกิดการอักเสบที่กระเพาะ การกินอาหารเผ็ดจัด และเปรี้ยวจัดจากน้ำสมสายชู การดื่มแอลกอฮอล์ ได้แก่ เหล้า เบียร์ ยาดอง

          ให้ใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ ใช้ปริมาณ 10 ซีซี ดื่มแบบเข้มข้นไม่ต้องผสมน้ำ ดื่มตอนเช้าก่อน 6 โมงเช้า และ ก่อนรับประทานอาหารประมาณ 20 นาที ทุกวัน จนกระทั่งอาการดีขึ้นโดยท่านสามารถสังเกตได้ด้วยตนเอง
ช่วงวันที่ 1 -2 อาการปวดท้อง แสบท้องจะลดน้อยลง
ช่วงวันที่ 3 - 7 อาการในช่วงนี้จะสังเกตได้ว่าไม่มีอาการแสบท้อง หรือปวดท้องก่อนรับประทานอาหาร หรือหลังรับประทานอาหาร งดทานอาหารที่มีรสจัด ห้ามทานอาหารทำลายกระดูก ได้แก่ น้ำปลา ผงชูรส น้ำอัดลมที่มีสีดำ รวมถึง ผักและผลไม้ที่มียาฆ่าแมลงตกค้าง สามารถใช้ร่วมกับยาแผนปัจจุบัน เช่น ยาลดกรดที่รับจากโรงพยาบาลได้โดยใช้ห่างกันครึ่งชัวโมง
       3. โรคสะเก็ดเงิน (Psoriasis) เป็นโรคที่มีการอักเสบเรื้อรังของผิวหนัง ที่มีผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย พบโรคนี้ได้ประมาณร้อยละ 1-2 ของประชากร สาเหตุของโรคเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน ได้แก่ พันธุกรรม ความผิดปกติของระบบภูมิคุ้มกันและปัจจัยกระตุ้นภายนอก ทำให้มีการแบ่งตัวของเซลล์ผิวหนังเร็วผิดปกติ  โรคสะเก็ดเงินพบได้ทั้งเพศชายและหญิง พบได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ ปัจจุบัน โรคสะเก็ดเงินไม่ได้เป็นปัญหาเฉพาะทางผิวหนัง แต่อาจพบมีสัมพันธ์กับโรคอื่น ๆ ได้แก่ โรคข้ออักเสบสะเก็ดเงิน และกลุ่ม metabolic syndrome ได้แก่ โรคอ้วน ภาวะไขมันในเลือดสูง และเบาหวาน เป็นต้น


       
       โรคผิวหนัง เช่น กลาก เกลื้อน เริม งูสวัด สะเก็ดเงิน เรื้อนกวาง หนังศีรษะที่เป็นแผ่นขาว ๆ วง ๆ ลอกออกมา เชื้อราในร่มผ้า ให้ผสมคลอโรฟิลล์เข้มข้น 10 ซี.ซี. กับน้ำสะอาด 1.5 ลิตร ใช้ดื่มวันละ 2ครั้ง คือเวลาตื่นนอนตอนเช้าก่อนแปรงฟัน 1 แก้ว และก่อนเข้านอน 1 แก้ว หลังจากอาบน้ำให้ใช้คลอโรฟิลล์เข้มข้นทาบริเวณที่เป็นโรคผิวหนังทันทีให้ปฏิบัติสม่ำเสมอทุกวัน
       4.บาดแผล ทั้งแผลสด แผลเก่า แผลเรื้อรัง แผลกดทับ แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก แผลเบาหวาน ผสมคลอโรฟิลล์เข้มข้น 10 ซี.ซี. กับน้ำสะอาด 1.5 ลิตร ใช้ดื่มวันละ 2ครั้ง คือเวลาตื่นนอนตอนเช้าก่อนแปรงฟัน 1 แก้ว และก่อนเข้านอน 1 แก้ว และให้ใช้คลอโรฟิลล์เข้มข้นทาบริเวณที่เป็นแผล แล้วแผลก็จะแห้งตกสะเก็ด รอยแผลเป็นจะจางมาก ๆ
       5. สิว สาเหตุของการเกิดสิว เชื่อว่า การเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมนในร่างกายจะมีผลต่อการเกิดสิว นอกจากนั้นยังมีปัจจัยอย่างอื่นที่มีผลต่อการเกิดสิว เช่นกรรมพันธื อารมณ์ อาหาร อากาศ ยา
- ต่อมขุมขนของคนเราประกอบไปด้วยส่วนต่างๆได้แก่ ต่อมไขมันหรือ Sebaceous gland รากขนหรือ Follicle ไขมันหรือ Sebum และมีรูเปิดหรือเรียกว่า pore สู่ผิวหนัง
- การเกิดสิวเกิดจากต่อมไขมันผลิตไขมันมาก และมีการอุดกลั้นทางเดินของไขมัน ทำให้สิวซึ่งอาจจะเป็นสิวหัวขาว หรือหัวดำก็ได้ หากมีการติดเชื้อแบคทีเรียจะทำให้เกิดการอักเสบของสิว เช่นเป็นหนอง

          ผสมคลอโรฟิลล์เข้มข้น 10 ซี.ซี. กับน้ำสะอาด 1.5 ลิตร ใช้ดื่มวันละ 2ครั้ง คือเวลาตื่นนอนตอนเช้าก่อนแปรงฟัน 1 แก้ว และก่อนเข้านอน 1 แก้ว หลังอาบน้ำตอนเย็นให้ใช้คลอโรฟิลล์เข้มข้นทาละเลงลงบนใบหน้า ทิ้งไว้ทั้งคืน สิวก็จะยุบหายไปเอง สิวเสี้ยนก็จะหลุดออกมา ผิวใบหน้าก็จะลื่นนุ่ม ให้ปฏิบัติอย่างนี้ทุกวันผิวก็จะเกลี้ยงเกลา
       6. แผลผ่าตัด การผ่าตัดหมายถึงการผ่าเอาเนื้อออกจากร่างกาย การผ่าตัดไม่ได้หมายความว่าหลังการผ่าตัดแล้วจะหายขาด เช่นการผ่าตัดในผู้ป่วยมะเร็งมีจุดมุ่งหมายหลายประการ ดังนั้นก่อนผ่าตัดไม่ว่าเพื่อรักษาโรคใดก็ตาม ท่านต้องปรึกษากับแพทย์ถึงเป้าหมายในการผ่าตัด เป้าหมายต่างๆได้แก่
     1.การวินิจฉัย ในกรณีที่มีก้อนไม่ว่าจะอยู่ที่ใด ก่อนที่จะเริ่มให้การรักษาแพทย์ต้องรู้ว่าก้อนนั้นเป็นอะไร การผ่าเอาชิ้นเนื้อส่งตรวจจะทำให้แพทย์ทราบการวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งจริงหรือเปล่า และเป็นมะเร็งชนิดไหน
     2.การรักษา การผ่าตัดชนิดนี้เพื่อผลทางการรักษา แพทย์จะผ่าเอาเนื้อร้ายหรือสงสัยว่าจะเป็นเนื้อร้ายออกให้มากที่สุด รวมทั้งต่อมน้ำเหลือง หรือเนื้อเยื่อใกล้เีคียง
     3.การผ่าเพื่อบอกระยะของโรค มะเร็งบางชนิดเราจะต้องรู้ระยะของโรคเพื่อวางแผนการรักษา การผ่าตัดนี้ส่วนใหญ่จะกระทำพร้อมกับการผ่าตัดเพื่อรักษา
     4.การผ่าตัดเพื่อซ่อม หลังจากที่เราตัดมะเร็งออกไปแล้วอาจจะทำให้อวัยวะบางอย่างถูกตัดไปด้วย หรืออาจจะผ่าตัดตกแต่ง เช่นมะเร็งเต้านม
          การผ่าตัดมะเร็งโดยเฉพาะมะเร็งในระยะเริ่มต้นจะหายขาด แต่ในบางกรณีที่มะเร็งมีขนาดใหญ่ หรือมีมะเร็งบางชนิดมีการแพร่กระจายโดยที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ดังนั้นอาจจำเป็นต้องให้เคมีบำบัดหรือฉายแสงฆ่าเซลล์มะเร็งส่วนที่ตัดออกไม่หมด หรือให้ฮอร์โมนอีกระยะหนึ่ง ขอให้ท่านจำไว้เสมอว่า การตรวจมะเร็งมีความจำเป็นเพราะปัจจุบันนี้มะเร็งรักษาได้และถ้าตรวจพบแต่เนิ่น ๆ ก็สามารถรักษาให้หายเร็วและหายขาดได้เช่นกัน

          ทั้งแผลหลังจากการผ่าคลอด การผ่าตัดเพื่อรักษาโรคมะเร็ง หรือแผลจากการทำศัลยกรรม ให้ผสมคลอโรฟิลล์เข้มข้น 10 ซี.ซี.กับน้ำสะอาด 1.5 ลิตร ใช้ดื่มวันละ 2ครั้ง คือเวลาตื่นนอนตอนเช้าก่อนแปรงฟัน 1 แก้ว และก่อนเข้านอน 1 แก้ว แลให้ใช้คลอโรฟิลล์เข้มข้นทาบริเวณรอยผ่าตัด รอยแผลเป็นก็จะจางลงเรื่อย ๆ
       7. ใบหน้าเป็นหลุม 
          
          เกิดจากรอยแผลเป็นจากสิวอักเสบ ผสมคลอโรฟิลล์เข้มข้น 10 ซี.ซี. กับน้ำสะอาด 1.5 ลิตร ใช้ดื่มวันละ 2ครั้ง คือเวลาตื่นนอนตอนเช้าก่อนแปรงฟัน 1 แก้ว และก่อนเข้านอน 1 แก้วหลังจากอาบน้ำตอนเย็นให้ใช้คลอโรฟิลล์เข้มข้นทาละเลงบนผิวหน้า ใช้นิ้วมือกด นวด ๆ หมุน ๆ ให้ทั้วใบหน้าทิ้งไว้ทั้งคืน รอยแผลเป็นที่เป็นหลุมลึกจะค่อย ๆ ตื้นขึ้นมา
       8. รูจมูกอักเสบ

          ผสมคลอโรฟิลล์เข้มข้น 10 ซี.ซี. กับน้ำสะอาด 1.5 ลิตร ใช้ดื่มวันละ 2ครั้ง คือเวลาตื่นนอนตอนเช้าก่อนแปรงฟัน 1 แก้ว และก่อนเข้านอน 1 แก้ว ให้ใช้คลอโรฟิลล์เข้มข้นหยอดใส่รูจมูก อาการคัดจมูก อาการจามจะหายไป อาการนอนโกรนก็จะหายไปด้วย อาการหอบหืดก็จะเป็นน้อยลงเรื่อย ๆ
       9. ล้างสารพิษ (Detox) ความหมายเดิมทางการแพทย์ก็คือ “กระบวนการฟื้นฟู และรักษาผู้ป่วยที่ติดสารเสพติดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้ป่วยที่ติดสุราเรื้อรัง ไปจนถึงติดสารเสพติดชนิดต่างๆ”
         คำว่า “ดีท็อกซ์” ย่อมาจากคำนามในภาษาอังกฤษว่า ดีท็อกซิฟิเคชัน(detoxification)  หมายถึง“วิธีการหรือกระบวนการ นำเอาสารพิษหรือชีวพิษ (toxic substances หรือ toxin) ต่างๆ ออกจากร่างกาย” หรือที่นิยมเรียกกันสั้นๆ ว่าเป็น “การล้างพิษ” นั่นเอง
          การดำเนินชีวิตในปัจจุบันทำให้คนเราได้รับสารพิษเข้าสู่ร่างกายได้ 2 ทางคือ
          1. การหายใจ เอาอากาศที่เจือปนด้วยมลพิษจากโรงงานอุตสาหกรรม ฝุ่นละอองตามถนนและเมืองแออัด
          2. พฤติกรรมในการบริโภคอาหาร เนื้อสัตว์ที่ได้รักการปรุงแต่งสารเคมีเพื่อเร่งการเจริญเติบโต ผักที่มีสารปนเปื้อนยาฆ่าแมลง และการใช้ยาเป็นประจำของคนที่มีโรคประจำตัวทำให้มีสารเคมีตกค้างในร่างกาย สารฟอร์มาลดีไฮด์ formaldehyde หรือที่รู้จักกันในชื่อ ฟอร์มาลีน สูตรทางเคมี คือ CH2O เป็นสารกันเสียที่นิยมใช้กับอาหารทะเล และที่มีส่วนผสมในเครื่องสำอาง แชมพู น้ำยาเคลือบเล็บ น้ำยาบ้วนปาก ยาระงับกลิ่นผ้า นอกจากนั้นแล้ว สารฟอร์มาลดีไฮด์พบมากในที่อยู่อาศัย เนื่องจากเป็นสารที่อยู่ในกาวและสารเคลือบเฟอร์นิเจอร์ไม้ ไม้อัด และไม้แปรรูปอื่นๆ ซึ่งใช้เป็นวัสดุก่อสร้าง รวมไปถึงสีทาบ้านบางชนิด
          เมื่อเราได้รับสารพิษอาจมีอาการมือสั่น กล้ามเนื้อกระตุก ปวดศีรษะ หัวใจเต้นเร็วผิดปกติ กระวนกระวาย วิงเวียนศีรษะ เป็นลม คลื่นใส้อาเจียร

          ปัจจุบันมีกระบวนการนำเอาสารพิษออกจากร่างกายได้ นิยมเรียกว่า การล้างสารพิษ หรือ ดีท๊อกซ์ การล้างสารพิษ (Detox) ความหมายเดิมทางการแพทย์ก็คือ “กระบวนการฟื้นฟู และรักษาผู้ป่วยที่ติดสารเสพติดต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นผู้ป่วยที่ติดสุราเรื้อรัง ไปจนถึงติดสารเสพติดชนิดต่างๆ”
         คำว่า “ดีท็อกซ์” ย่อมาจากคำนามในภาษาอังกฤษว่า ดีท็อกซิฟิเคชัน(detoxification)  หมายถึง“วิธีการหรือกระบวนการ นำเอาสารพิษหรือชีวพิษ (toxic substances หรือ toxin) ต่างๆ ออกจากร่างกาย” หรือที่นิยมเรียกกันสั้นๆ ว่าเป็น “การล้างพิษ” นั่นเอง

          การล้างสารพิษด้วยคลอโรฟิลล์บริสุทธิ 100% ผสมคลอโรฟิลล์เข้มข้น 10 ซี.ซี. กับน้ำสะอาด 1.5 ลิตร ใช้ดื่มวันละ 2ครั้ง คือเวลาตื่นนอนตอนเช้าก่อนแปรงฟัน 1 แก้ว และก่อนเข้านอน 1 แก้ว
ช่วง 1-3 วัน มีอาการถ่ายเหลวเป็นน้ำออกมา อย่าตกใจไม่ใช่อาการท้องร่วง นั่นเป็นอาการของคลอโรฟิลล์ไปดีทอกซ์ (Detox) คลอโรฟิลล์ไปจับสารพิษในลำใส้แล้วขับออกมา เมื่อเราล้างก้นจะมีเมือกขาว ๆ ลื่น ๆ นั่นคือสารพิษที่ถูกขับออกมา
       10. สำรวจโรคในลำใส้ 

          ดื่มคลอโรฟิลล์แล้ว มีอาการท้องอืด ท้องผูก นั่นหมายถึงอาการตอบสนองจากการสำรวจโรคในร่างกายของท่าน หรือถ้าถ่ายออกมาเป็นก้อนแข็งเล็ก ๆ เท่าเม็ดถั่ว นั่นแสดงว่าลำใส้ใหญ่มีปัญหาอาจตีบตัน หรือในบางรายที่มีอาการรุนแรงอันเนื่องจากเป็นมะเร็งในลำใส้ได้ ขอแนะนำให้ไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจรักษาอย่างละเอียดอีกครั้ง
       11. สำรวจโรคเลือด 


          ดื่มคลอโรฟิลล์แล้ว มีอาการปวด มึน วิงเวียนศีรษะ หมดเรี่ยวแรง ง่วงนอน แสดงว่าท่านป่วยเป็นโรคเลือดข้น เลือดหนืด เลือดเป็นกรด เลือดมีสารพิษ อาการเหล่านี้มักจะเป็นกับผู้ป่วยที่เป็นโรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน โรคไตวาย ผสมคลอโรฟิลล์เข้มข้น 10 ซี.ซี. กับน้ำสะอาด 1.5 ลิตร ใช้ดื่มวันละ 2ครั้ง คือเวลาตื่นนอนตอนเช้าก่อนแปรงฟัน 1 แก้ว และก่อนเข้านอน 1 แก้ว เวลานอนจะหลับสบาย ตื่นขึ้นมาตอนเช้าจะมีเรี่ยวแรง อาการปวดหัววิงเวียนศีรษะจะหายไป
          ส่วนผู้ป่วยหนัก หรือผู้ที่เป็นโรคเกี่ยวกับความดันโลหิต โรคเบาหวาน และโรคไต ให้ดื่มตามคำแนะนำเฉพาะโรคอย่างต่อเนื่อง หรือผู้ป่วยที่มีอาการดีขึ้น ควรดื่มคลอโรฟิลล์อยู่เสมอเพื่อป้องกันโรคความดัน โรคเบาหวาน โรคไต ไม่ให้กลับมาอีก (สำหรับในรายที่มีอาการรุนแรง ให้ใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์แองเจิ้ล (Angel) 2 เม็ดก่อนนอน)
สามารถใช้ร่วมกับยาแผนปัจจุบัน ที่รับจากโรงพยาบาลได้ โดยใช้ห่างกันครึ่งชั่วโมง
       12. โรคปวดศีรษะไมเกรน อาการปวดศีรษะไมเกรนเกี่ยวข้องกับหลอดเลือด สารชีวเคมีกลุ่ม peptide สารก่อการอักเสบที่ปลายประสาท Trigeminalและระบบประสาท โดยกลไกการเกิดล่าสุดที่พบ คือ genetic mutation ซึ่งผลของความผิดปกติของยีนส์เหล่านี้ทำให้มีปริมาณโปแทสเซียมและกลูตาเมตภายนอกเซลล์มากขึ้นซึ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการไหลเวียนของหลอดเลือดร่วมกับการกระตุ้นประสาทส่งผลให้การไหลเวียนเลือดเพิ่มมากขึ้นในช่วงเวลาสั้นๆจากการขยายเส้นเลือดบริเวณศีรษะหลังจากนั้นจะมีการไหลเวียนเลือดน้อยลงจากการหดหลอดเลือดบริเวณศีรษะซึ่งเป็นผลมาจากภาวะที่มีการกดประสาทจากการเปลี่ยนแปลงการไหลเวียนเลือดนี้ทำให้เกิดการปวดศีรษะไมเกรนขึ้น
           อาการปวดศีรษะไมเกรนมักจะปวดศีรษะครึ่งซีกแต่บางครั้งเป็นสองข้างก็ได้ โดยมักกินเวลาปวด 4-72 ชั่วโมงซึ่งมักจะมีการปวดตุ๊บๆและส่วนมากจะพบอาการคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วยรวมถึงอาจมีหรือไม่มีอาการนำทางสายตา เช่น เห็นแสงซิกแซก , แสงวาบ
          ผู้ป่วยแต่ละรายควรสังเกตว่าปัจจัยใดบ้างที่กระตุ้นอาการปวดศีรษะในตัวเองซึ่งจะได้หลีกเลี่ยงปัจจัยเหล่านั้น ซึ่งปัจจัยกระตุ้นได้แก่
     อาหาร - อาหารบางชนิดกระตุ้นให้เกิดอาการปวดศีรษะได้เช่น คาเฟอีน, สารไทรามีนเช่น ชีส ผงชูรส (monosodium glutamate) ช็อกโกแลต สารที่ให้รสหวาน เช่น aspartame ผลไม้รสเปรี้ยว โยเกิร์ต และสารไนเตรทเช่น ไส้กรอก เป็นต้น
     ระดับฮอร์โมน - ระดับฮอร์โมนที่เปลี่ยนแปลงกระตุ้นให้เกิดอาการปวดศีรษะได้ เช่น ช่วงที่มีประจำเดือน รับประทานยาเม็ดคุมกำเนิด ได้รับฮอร์โมนทดแทน และกำลังตั้งครรภ์ เป็นต้น
     สภาพร่างกาย - สภาพร่างกายที่อาจกระตุ้นให้เกิดอาการปวดศีรษะได้ เช่น นอนไม่พอ เครียด ทำงานหนักมากเกินไป และอดอาหาร เป็นต้น
     การออกกำลังกาย - การออกกำลังกายที่มากเกินก็สามารถกระตุ้นให้เกิดการกำเริบของอาการปวดหัวไมเกรนได้
     สภาวะแวดล้อม - สภาวะแวดล้อมที่กระตุ้นให้เกิดอาการปวดศีรษะได้ เช่น อาการร้อนหรือหนาวจัด แสงแดดจ้า กลิ่นไม่พึงประสงค์บางอย่าง เช่น กลิ่นบุหรี่หรือกลิ่นน้ำหอม เป็นต้น
     ยาและสารเคมีบางชนิด - ยาและสารเคมีบางชนิดกระตุ้นให้เกิดการปวดศีรษะได้ เช่น nitroglycerine, Hydralazine, Histamine, Resepine เป็นต้น
ใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100% กับโรคไมเกรนได้ดังนี้
          ช่วง 1 – 5 วันแรก ให้ใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % ปริมาณ 5 ซีซี ผสมน้ำ 1.5 ลิตร ให้ดื่มแทนน้ำทั้งวัน เพื่อปรับสภาพการได้รับสารอาหาร หลังจากนั้น ให้ใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % ปริมาณ 15 ซีซี ผสมน้ำ 1.5 ลิตร ให้ดื่มแทนน้ำทั้งวัน
          ช่วงวันที่ 1-7  อาการปวดศีรษะจะมากขึ้น รวมถึงมีอาการไข้ ครั่นเนื้อครั่นตัว บางรายอาจมีไข้หลายวัน แต่ให้รับประทานต่อไปเรื่อยๆ
          ช่วงวันที่ 8 - 15 อาการในช่วงนี้จะสังเกตได้ว่าความถี่ในการปวดหัวไมเกรนเริ่มลดน้อยลง อาการปวดจะค่อยๆ ลดลง และไม่พบอาการปวดในที่สุด
          งดการนอนดึก พยายามหลีกเลี่ยงอารมณ์เครียด หาเวลาออกกำลังกาย และพักผ่อนให้เพียงพอ ห้ามทานอาหารทำลายกระดูก ได้แก่ ผงชูรส น้ำอัดลมที่มีสีดำ รวมถึงยาฆ่าแมลงจากผักและผลไม้
สามารถใช้ร่วมกับยาแผนปัจจุบัน ที่รับจากโรงพยาบาลได้โดยใช้ห่างกันครึ่งชั่วโมง
       13. ปวดฟัน โดยปกติแล้วอาการปวดฟันจะมีปัญหาพื้นๆ มาจากฟันผุเสียส่วนใหญ่ หากว่ารูผุนั้นไม่ลึกมากก็จะมีอาการเสียวฟัน แต่ถ้ารูผุใกล้โพรงประสาทฟันหรือทะลุโพรงประสาทฟัน ก็จะเริ่มมีอาการปวดบ่อยๆ ปวดเป็นบางที จนถึงปวดมาก ปวดตลอดเวลา
     ฟันเป็นหนองปลายราก เมื่อฟันผุมากไม่รับการรักษาทำให้เชื้อ Bacteria สามารถเข้าไปจนเกิดหนองปลายรากฟัน หนองที่มีมากก็เกิดแรงดัน ทำให้ปวดปลายรากอย่างรุนแรง มีอะไรมากระทบฟันก็ปวด
     ฟันเป็นโรคเหงือกอักเสบ มีการละลายตัวของกระดูกรอบๆ รากฟันเป็นที่กักขังของ Bacteria เป็นหนองรอบรากฟัน ฟันโยก ทำให้เกิดเสียวฟัน และปวดได้
     ฟันร้าว, ฟันแตก แน่นอน กรณีที่มีฟันร้าว ก็มีโอกาสที่โพรงประสาทฟันติดต่อกับภายนอกผ่านรอยร้าวได้ / น้ำเย็น / น้ำร้อน ก็ส่งถึงโพรงประสาทฟันทำให้ปวดได้
     เศษอาหารติดฟัน กรณีฟันห่าง ฟันผุด้านข้างเป็นรูใหญ่ เป็นโรคเหงือกอักเสบ ฟันโยก มีช่องว่างระหว่างฟัน เวลาเคี้ยวอาหารชิ้นใหญ่ๆ เช่น เนื้อก้อนใหญ่ เวลาไปอัดตรงช่องว่างเหล่านี้มันจะกดให้เหงือกช้ำ เป็นที่สะสมของแบคทีเรีย จะปวดเหงือกและฟันบริเวณนี้มาก

          ฟันโยกคลอน เหงือกอักเสบบวม ให้อมคลอโรฟิลล์เข้มข้น แล้วอาการปวดจะหายไป ถ้าอมติดต่อกัน 3-5 วันฟันที่โยกคลอนก็จะหายโยกหายคลอนไปเอง ยกเว้น ฟันคุดต้องไปถอนออก
       14. ประจำเดือนไม่มา

          หรือมาเล็กน้อยเป็นเลือดดำ ๆ ผสมคลอโรฟิลล์เข้มข้น 10 ซี.ซี. กับน้ำสะอาด 1.5 ลิตร ใช้ดื่มวันละ 2ครั้ง คือเวลาตื่นนอนตอนเช้าก่อนแปรงฟัน 1 แก้ว และก่อนเข้านอน 1 แก้ว ดื่มติดต่อกัน 1-2 เดือน ประจำเดือนจะมาเป็นปกติ
       15. ผู้หญิงที่มีอาการหนาวในอก เวลาฝนตก พัดลมเป่า อยู่ในห้องแอร์ไม่ได้ จะรู้สึกหนาวยะเยือกอยู่ข้างใน ฝ่ามือจะมีรอยคล้ำ ๆ ผสมคลอโรฟิลล์เข้มข้น 10 ซี.ซี. กับน้ำสะอาด 1.5 ลิตร ใช้ดื่มวันละ 2ครั้ง คือเวลาตื่นนอนตอนเช้าก่อนแปรงฟัน 1 แก้ว และก่อนเข้านอน 1 แก้ว ในระยะเวลา 20-30 วัน อาการหนาวในอกจะหายไป และถ้าดื่มกินต่อเนื่องอาการหนาวจะไม่กลับมาอีก
       16. โรคโรหิตจาง ทาลัสซีเมีย 

          ดื่มคลอโรฟิลล์แล้ว มีอาการร้อนวูบวาบ หน้าแดง คอแดง มีความรู้สึกจะอาเจียร เวียนศีรษะ แสดงว่าป่วยเป็นโรคโรหิตจาง ทาลัสซีเมีย ผสมคลอโรฟิลล์เข้มข้น 10 ซี.ซี. กับน้ำสะอาด 1.5 ลิตร ใช้ดื่มวันละ 2ครั้ง คือเวลาตื่นนอนตอนเช้าก่อนแปรงฟัน 1 แก้ว และก่อนเข้านอน 1 แก้ว ดื่มเป็นประจำ 10-15 วันผิวพรรณจะมีเลือดฝาดดีขึ้น อาการเหนื่อยเพลียจะหายไป และจะมีเรี่ยวแรง
       17.โรคภูมิแพ้

          โรคภูมิแพ้ คือ โรคที่เกิดจากการตอบสนองของร่างกายผิดปกติอย่างมากต่อตัวกระตุ้นที่ในภาวะปกติแล้วจะไม่ทำให้เกิดอันตราย ต่อร่างกาย เช่น ไรฝุ่น ละอองเกสรพืช ทำให้เกิดการอักเสบในอวัยวะที่สัมผัสกับสารก่อภูมิแพ้นั้น แล้วทำให้เกิด การอักเสบในโพรงจมูก เกิดอาการคัดจมูก จาม มีน้ำมูกใสๆ คันจมูก
          ถ้าเป็นโรคหืดเมื่อหายใจเอาสารก่อภูมิแพ้เข้าไปถึงหลอดลม ก็จะทำให้เกิด การอักเสบของหลอดลม แล้วหลอดลมก็จะตอบสนองด้วยการหดเกร็งเกิดอาการของหลอดลมตีบขึ้น โดยหายใจมีเสียง เหมือนนกหวีด ดังวี๊ดขึ้น อาจใช้เวลาก่อนเกิดอาการเป็นนาทีหรือเป็นชั่วโมงก็ได้ ถ้าเป็นภูมิแพ้ที่ผิวหนัง ก็จะมีอาการคัน ที่ผิวหนัง หรือมีผื่นแบบลมพิษ ถ้าแพ้อาหารก็จะมีอาการปากบวม หรือมีลมพิษขึ้น
          อาการแทรกซ้อนเมื่อเป็นภูมิแพ้ ขึ้นอยู่กับอวัยวะที่แพ้ ถ้าเป็นภูมิแพ้ทางจมูกก็จะมีอาการปากแห้งเวลาตื่นนอน เนื่องจากเกิดอาการคัดจมูกในเวลากลางคืน ทำให้นอนอ้าปากหายใจ ง่วงเหงาหาวนอนเวลาเรียน สมาธิสั้น ทำให้ ความคิดความจำสั้น ถ้าเป็นหืดก็จะทำให้สมรรถภาพการทำงานลดลง เพราะจะเหนื่อยง่าย
         ถ้าเป็นรุนแรงและ มีอาการ ในที่ห่างไกลจากโรงพยาบาล หรือไม่มียาขยายหลอดลมติดตัวก็อาจทำให้เสียชีวิตได้ สิ่งที่น่าเป็นห่วง คือ ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ส่วนใหญ่มักไม่ได้รับการวินิจฉัย หรือการรักษาที่ไม่เพียงพอทำให้ไม่สามารถควบคุมอาการได้
         ภาวะเครียดและการอดนอนจะทำให้อาการของภูมิแพ้แย่ลง ดังนั้นควรดูแลสุขภาพของตัวเองไม่ให้เครียด พักผ่อน ให้เพียงพอ รักษาร่างกายให้อบอุ่น การออกกำลังกายจะทำให้อาการของโรคภูมิแพ้ดีขึ้นแต่ต้องเลือกชนิดการออกกำลังกาย และไม่ควรออกกำลังกาย ในช่วงที่มีอาการของโรคหอบหืดกำเริบ โดยเลือกช่วงอากาศที่ไม่ร้อนหรือเย็นจนเกินไป และใช้ เวลาใน การออกกำลังกายให้เหมาะสม ส่วนรูปแบบการออกกำลังกาย ควรเป็นแบบแอโรบิค คือ ลักษณะอาการ ออกกำลังกายแบบต่อเนื่อง เช่น การวิ่ง เดิน หรือว่ายน้ำ แล้วแต่ความเหมาะสมของร่างกาย
         เป็นมานานหลายปี มีน้ำมูกไหลตลอดเวลา มีอาการจามตอนเช้าหรือ ช่วงเวลาที่อากาศเย็นหรือฝนใกล้ตก เป็นตลอดเวลาที่มีอากาศเย็น มีผื่นคันคล้ายๆ ลมพิษ ใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100% ปริมาณ 15 ซีซี ผสมน้ำ 1.5 ลิตร ดื่มแทนน้ำตลอดทั้งวัน
ช่วงที่ 1 - 7 วัน อาการช่วงนี้จะจามบ่อย มีน้ำมูกออกมากขึ้น บางรายอาจเป็นไข้ อยู่ช่วงเวลาหนึ่ง บางท่านอาจมีอาการปวดหัวร่วมด้วย แต่ให้ดื่มต่อไปเรื่อยๆ จะสังเกตว่าทุกอย่างจะดีขึ้น ไม่เกินระยะเวลา 1 เดือน น้ำมูกลดน้อยลง อาการจามหายไป
ห้ามรับประทานอาหารทำลายกระดูก ได้แก่ น้ำปลา ผงชูรส น้ำอัดลมที่มีสีดำ รวมถึงผักและผลไม้ที่ปนเปื้อนยาฆ่าแมลง งดการดื่มนมวัว หรือผลิตภัณฑ์ที่ทำจากนมวัว
หากเป็นไปได้ให้เลิกรับประทานเนื้อสัตว์ทุกชนิด (ยกเว้นเนื้อปลาทานได้) ลดปริมาณการดื่มเครื่องดื่มอัลกอฮอร์ สามารถใช้ร่วมกับยาแผนปัจจุบันที่รับจากโรงพยาบาลได้โดยใช้ห่างกันครึ่งชั่วโมง
       18. ป่วยเป็นโรคกรดไหลย้อน


          โรคกรดไหลย้อน Gastroesophageal Reflux Disease คือภาวะที่มีกรดหรือน้ำย่อยในกระเพาะอาหาร ไหลย้อนขึ้นมาบริเวณหลอดอาหาร ซึ่งหลอดอาหารเป็นอวัยวะที่ไม่ทนต่อกรด จึงทำให้เกิดการอักเสบของหลอดอาหาร ซึ่งโดยปกติ หลอดอาหารจะมีการบีบตัวไล่อาหารลงด้านล่างและหูรูด ทำหน้าที่ป้องกันการไหลย้อนของน้ำย่อย กรด หรืออาหาร ไม่ให้ไหลย้อนขึ้นมาบริเวณหลอดอาหาร แต่ในปัจจุบัน หูรูดส่วนนี้ทำงานได้น้อยลงในบางคน ซึ่งจะตรวจพบได้ประมาณ 1 ใน 5 คน พบในคนทั่วไป ทุกกล่ม ทุกช่วงอายุ แต่จะพบได้มากในคนอ้วน หรือสูบบุหรี่ และการไหลย้อนของกรด ถ้ามีมาก อาจไหลออกนอกหลอดอาหาร อาจทำให้มีผลต่อกล่องเสียง ลำคอ หรือปอดได้ ซึ่งหากละเลยไม่ทำการรักษา อาจทำให้เรื้อรังกลายเป็นมะเร็งหลอดอาหารได้
-ภาวะของโรคกรดไหลย้อน แบ่งออกเป็น 3 ระดับ
 1. ระดับแรก ผู้ป่วยมีภาวะกรดไหลย้อนบ้างในบางครั้ง เป็นบ้างไม่เป็นบ้าง แล้วก็หายไป ไม่มีผลต่อสุขภาพมากมาย (Gastro-Esophageal Reflux : GER)
 2. ระดับสอง ผู้ป่วยจะมีอาการกรดไหลย้อนขึ้นมาเฉพาะที่บริเวณหลอดอาหาร (Gastro-Esophageal Reflux Disease : GERD)
 3. ระดับสาม ผู้ป่วยมีกรดไหลย้อนจากกระเพาะอาหารมาก จนไหลขึ้นไปถึงกล่องเสียง หรือหลอดลม (Laryngo-Pharyngeal Reflux : LPR)
          เป็นมานานหลายปี ให้ใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ ใช้ปริมาณ 10 ซีซี ผสมน้ำ ครึ่งแก้วประมาณ 50 - 100 ซีซี ดื่มตอนเช้าก่อน 6 โมงเช้า และ ก่อนรับประทานอาหารประมาณ 20 นาที ทุกวัน จนกระทั้งอาการดีขึ้น
     ช่วงวันที่ 1 -2 อาการปวดท้อง แสบท้องจะลดน้อยลง
     ช่วงวันที่ 3 - 7 อาการในช่วงนี้จะสังเกตได้ว่าไม่มีอาการแสบท้อง หรือปวดท้องก่อนรับประทานอาหาร หรือหลังรับประทานอาหาร
       19. ตาแดง ตาอักเสบ เป็นต้อลม (มีเยื่อขุ่น ๆยื่นออกไปปิดตาดำ) ใช้คลอโรฟิลล์เข้มข้น หยอดตาทุก 4 ชั่วโมง อาการที่เป็นอยู่ก็จะดีขึ้น
       20. หูอักเสบ ใช้คลอโรฟิลล์เข้มข้นหยอดหูเป็นประจำ อาการจะดีขึ้น
       21. โรคเก๊าต์ มีอาการปวดบวมตามข้อ โดยเฉพาะเวลาอากาศเย็น
เดือนที่ 1 ให้ใช้สารสกัดคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % ปริมาณ 15 ซีซี ผสมน้ำ 1.5 ลิตร ให้ดื่มแทนน้ำทั้งวัน
ข้อสังเกตุ ในระยะเวลา 3 – 7 วัน จะมีอาการที่ท่านสังเกตได้คือ มีการปวดมากขึ้นตามข้อ ปวดหัวครั่นเนื้อครั่นตัว มีอาการป่วยเป็นไข้อยู่ 2- 3 วัน หรือมากกว่า บางท่านอาจปวดมากจนทนไม่ได้ ให้ลดปริมาณลงเหลือ 10 ซีซี ต่อน้ำ 1.5 ลิตร และให้ใช้วิธีดื่มน้ำอุ่นตาม ถ้าอาการปวดยังไม่ดีขึ้นสามารถใช้ยาแก้ปวดแผนปัจจุบันร่วมด้วยได้ โดยใช้ห่างกันครึ่งชัวโมง
เดือนที่ 2 ให้ลดปริมาณคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % เป็น ปริมาณ 10 ซีซี ผสมน้ำ 1.5 ลิตร ให้ดื่มแทนน้ำทั้งวัน
          ห้ามทานผงชูรส น้ำอัดลมที่มีสีดำ ผักและผลไม้ที่ปนเปื้อนยาฆ่าแมลง ลดปริมาณการทานสัตว์ปีก และเครื่องในสัตว์ทุกชนิด
       22. โรคกระดูกทับเส้น หรือเส้นประสาทถูกกดทับ เกิดจากการที่สันหลังคนเราประกอบไปด้วยกระดูกสันหลังชิ้นย่อยๆ เรียงต่อกันเป็นแนวจากต้นคอจนถึงก้นกบ ระหว่างกระดูกแต่ละข้อก็จะมีแผ่นกระดูกอ่อนที่เรียกว่า หมอนรองกระดูกสันหลังคั่นกลางทำหน้าที่ป้องกันการเสียดสี และภายในโครงกระดูกสันหลังนั้นประกอบไปด้วยเส้นประสาทแตกแขนงจากไขสันหลังไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย เส้นประสาทที่แยกออกมาจากไขสันหลัง เรียกว่า รากประสาท ซึ่งจะอยู่ชิดกับหมอนรองกระดูก เมื่อหมอนรองกระดูกเคลื่อนตัวกดทับรากประสาทก็จะทำให้เกิดอาการปวดตามส่วนต่างๆ ที่เส้นประสาทส่งไปถึง

โรคกระดูกทับเส้น ให้ใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % ปริมาณ 15 ซีซี ผสมน้ำ 1.5 ลิตร ให้ดื่มแทนน้ำทั้งวัน
ในช่วง 3 - 7 วัน ในช่วงนี้ จะเกิดในอาการอยู่ 2 กรณี
กรณีที่ 1 บางท่านอาจเกิดสภาวะครั่นเนื้อครั่นตัวจนถึงเป็นไข้ และมีอาการการปวดมากขึ้นมากกว่าเดิม ถ้าท่านปวดมากสามารถใช้ยาแก้ปวดแผนปัจจุบันร่วมด้วยได้เพื่อบรรเทาอาการ
กรณีที่ 2 บางท่านอาจไม่เกิดอาการปวดใดๆ แต่จะรู้สึกเบาเนื้อเบาตัวในช่วง 3 วันแรก อาการปวดน้อยลงกว่าเดิม จนไม่มีอาการปวดในช่วงหลังวันที่ 7
ในช่วง 8 - 14 วัน ให้ลดปริมาณคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % เป็น ปริมาณ 10 ซีซี ผสมน้ำ 1.5 ลิตร ให้ดื่มแทนน้ำทั้งวัน
ห้ามทานอาหารทำลายกระดูก ได้แก่ น้ำปลา ผงชูรส น้ำอัดลมที่มีสีดำ รวมถึงผักและผลไม้ที่ปนเปื้อนยาฆ่าแมลง
สามารถใช้ร่วมกับยาแผนปัจจุบัน ที่รับจากโรงพยาบาลได้ โดยใช้ห่างกันครึ่งชั่วโมง
          สำหรับในรายที่มีอาการรุนแรง ให้ใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์แองเจิ้ล (Angel) 2 เม็ดก่อนนอนในช่วง 7 วันแรก และให้ลดลงเป็น Angel 1 เม็ดทุกวันหลังจากนั้น  อาการจะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
       23. โรคตับโต  มีอาการของหายใจไม่อิ่ม หายใจไม่เต็มปอด  จุกลิ้นปี่
ในช่วง 5-7 วันแรกตื่นขึ้นมาตอนเช้าให้ผสมคลอโรฟิลล์เข้มข้น 5 ซี.ซี. ลงในน้ำ 1 แก้วดื่มกินทันที และดื่มอีก 1 แก้วก่อนนอน และผสมคลอโรฟิลล์เข้มข้น 10 cc กับน้ำสะอาด 1.5 ลิตร ใช้ดื่มทั้งวัน อาการจุกลิ้นปี่จะทุเลาขึ้น และดื่มกินเช่นนี้ 3-4 เดือน อาการจะดีขึ้นมาก
       24. โรคฉี่กระปริบกระปรอย เวลาปวดฉี่จะจะกลั้นไม่อยู่ ผสมคลอโรฟิลล์เข้มข้น 10 ซี.ซี. กับน้ำสะอาด 1.5 ลิตร ใช้ดื่มวันละ 2ครั้ง คือเวลาตื่นนอนตอนเช้าก่อนแปรงฟัน 1 แก้ว และก่อนเข้านอน 1 แก้ว ดื่มเช่นนี้ 3-5 วันอาการจะดีขึ้น และให้ดื่มกินต่อเนื่องประมาณ 1-2 เดือน สมรรถนะทางเพศจะกลับคืนมา
       25. ผู้ที่ต้องการลดความอ้วน ผสมคลอโรฟิลล์เข้มข้น 10 ซี.ซี. กับน้ำสะอาด 1.5 ลิตร ใช้ดื่มวันละ 2ครั้ง คือเวลาตื่นนอนตอนเช้าก่อนแปรงฟัน 1 แก้ว และก่อนเข้านอน 1 แก้ว และให้ดื่มกินแทนน้ำทั้งวัน งดอาหารหวาน มัน กะทิ เนื้อติดมัน หมูสามชั้น ลดข่้าวลง ให้กินผักผลไม้ที่ไม่มีรสหวานมาก ๆ ด้วยคุณสมบัติของคลอโรฟิลล์จะไปจับไขมันส่วนเกินแล้วขจัดทิ้ง แล้วท่านจะผอม หุ่นดีเป็นธรรมชาติ ผิวหนังไม่ซูบซีด เวลาประมาณ 1-2 เดือน ท่านจะหุ่นดีขึ้นมาก ถ้าปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอจะได้ผลดีอย่างแน่นอน
       26. ท่านที่เป็นอัมพฤกษ์ อัมพาต ผสมคลอโรฟิลล์เข้มข้น 10 cc กับน้ำสะอาด 1.5 ลิตร ใช้ดื่มวันละ 2ครั้ง คือเวลาตื่นนอนตอนเช้าก่อนแปรงฟัน 1 แก้ว และก่อนเข้านอน 1 แก้ว ภายในระยะเวลา 3-4 เดือน อาการจะค่อย ๆ ดีขึ้น ร่างกายแข็งแรง มีเลือดฝาด โรคนี้ต้องใช้เวลานานหน่อย ต้องใจเย็น ๆ อย่าใจร้อน ยิ่งถ้าเป็นเส้นเลือดในสมองแตกยิ่งรักษายากมาก ต้องใช้เวลานานหลายเดือน
       27. เป็นกล้ามเนื้ออ่อนแรง ยกแขนขาไม่ได้ ผสมคลอโรฟิลล์เข้มข้น 10 cc กับน้ำสะอาด 1.5 ลิตร ใช้ดื่มวันละ 2ครั้ง คือเวลาตื่นนอนตอนเช้าก่อนแปรงฟัน 1 แก้ว และก่อนเข้านอน 1 แก้ว และให้ดื่มแทนน้ำทุกวัน ระยะเวลา 20-30 วัน จะมีอาการร้อน ๆ ตามแขนขา แล้วจากนั้นจะเริ่มรู้สึกมีเรี่ยวมีแรงขึ้นมา ให้เปลี่ยนมาดื่มเช่้า/เย็น อย่างสม่ำเสมอ แล่้วอาการจะดีขึ้นเอง
       28. ผมร่วง ผสมคลอโรฟิลล์เข้มข้น 10 ซี.ซี. กับน้ำสะอาด 1.5 ลิตร ใช้ดื่มวันละ 2ครั้ง คือเวลาตื่นนอนตอนเช้าก่อนแปรงฟัน 1 แก้ว และก่อนเข้านอน 1 แก้ว ทุกวัน และหลังอาบน้ำสระผมตอนเย็นให้ใช้คลอโรฟิลล์เข้มข้นทาทั่วหนังศีรษะ อาการผมร่วงจะหายไป และผมที่ร่วงจะงอกขึ้นมาใหม่ ผมหงอกจะกลับมาดำเป็นบางส่วน
       29. ผิวพรรณหยาบกร้าน ผสมคลอโรฟิลล์เข้มข้น 10 ซี.ซี. กับน้ำสะอาด 1.5 ลิตร ใช้ดื่มวันละ 2ครั้ง คือเวลาตื่นนอนตอนเช้าก่อนแปรงฟัน 1 แก้ว และก่อนเข้านอน 1 แก้ว ทุกวัน ผิวพรรณจะเนียนนุ่มมีเลือดฝาดสวยงาม
       30. โรคมะเร็ง ใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % ดื่มแบบเข้มข้นเพื่อให้สารอาหารเป็นยา
-สัปดาห์แรก ให้ใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % ปริมาณ 5 ซีซี ผสมน้ำ 1.5 ลิตร ให้ดื่มแทนน้ำทั้งวันต้องดื่มให้หมดขวดทุกวัน เป็นเวลา 5 – 7 วัน
-เดือนที่ 1 ให้ใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % ปริมาณ 30 ซีซี ผสมน้ำ 1.5 ลิตร ให้ดื่มแทนน้ำทั้งวันต้องดื่มให้หมดขวดทุกวัน
*หลังจากรับประทานไปแล้ว จะมีอาการไอ ออกเสมหะ มีอาการครั่นเนื้อ ครั่นตัว และบางรายเกิดอาการเป็นไข้สูง และถ้ามีอาการไออยู่แล้ว จะไอมากขึ้น เสมหะออกเขียวๆ ปนดำ ไม่ต้องตกใจให้ดื่มต่อในปริมาณที่กำหนด ใช้เวลาไม่นานอาการดังกล่าวจะหายไปเอง*
-เดือนที่ 2 ให้ลดปริมาณคลอโรฟิลล์บริสุทธ์ 100 % โดยใช้ ปริมาณ 20 ซีซี ผสมน้ำ 1.5 ลิตร ให้ดื่มแทนน้ำทั้งวัน และต้องดื่มให้หมดขวดทุกวัน
-เดือนที่ 3 ให้ลดปริมาณคลอโรฟิลล์บริสุทธ์ 100 % โดยใช้ ปริมาณ 10 ซีซี ผสมน้ำ 1.5 ลิตร ให้ดื่มแทนน้ำทั้งวันต้องดื่มให้หมดขวดทุกวัน
-เดือนที่ 4 - 6 ให้ใช้ปริมาณคลอโรฟิลล์บริสุทธ์ 100 % โดยใช้ ปริมาณ 10 ซีซี ผสมน้ำ 1.5 ลิตร ให้ดื่มแทนน้ำทั้งวันต้องดื่มให้หมดขวดทุกวัน
* หลังจากเดือนที่ 6 ให้ท่านตรวจเชื้อมะเร็งอีกครั้ง จะได้คำตอบ*
คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ไม่มีผลข้างเคียงใดๆ ต่อร่างกายเนื่องจากเป็นสารสกัดจากพืชบริสุทธิ์ 100 % ไม่มีสารประกอบอื่นเจือปนจึงไม่ต้องกังวลในเรื่องนี้
       31. มีกลิ่นตัว ให้ใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % 10 ซีซี ผสมน้ำ 1.5 ลิตรดื่มแทนน้ำตลอดทั้งวัน
ช่วง 1-7 วัน หลังจากดื่มคลอโรฟิลล์จะสังเกตได้ว่า เมื่อมีเหงื่อออกกลิ่นตัวลดลงจนไม่ต้องใช้ยาดับกลิ่นกาย หลังจากนั้น ผสมคลอโรฟิลล์เข้มข้น 10 ซี.ซี. กับน้ำสะอาด 1.5 ลิตร ใช้ดื่มวันละ 2ครั้ง คือเวลาตื่นนอนตอนเช้าก่อนแปรงฟัน 1 แก้ว และก่อนเข้านอน 1 แก้ว เพื่อไม่ให้อาการกลับมาอีก
       32. มีผื่นคันแดง หลังจากดื่มคลอโรฟิลล์ แสดงว่าร่างกายท่านได้สะสมสารพิษไว้ คลอโรฟิลล์จะเข้าไปจับและขับสารพิษออกทางผิวหนัง ให้ดื่มกินต่อไปแล้วอาการผื่นคันก็จะค่อย ๆ หายไป
       33. โรคไต มักมีอาการ ปัสสาวะบ่อย นอนไม่หลับ อ่อนเพลีย เป็นตะคิว ปวดเมื่อย เลือดลมไม่ดี ผมหงอกก่อนวัย ถ่ายอุจจาระไม่จับตัวเป็นก้อน
โรคไต (แบบยังไม่ฟอกไต) ใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % ให้ผสมน้ำดื่มได้ตามปกติ
ช่วง 1 - 5 วันแรก ให้ผสมน้ำ ปริมาณ 10 ซีซี / วัน / 1 ขวด (น้ำสะอาด 1.5 ลิตร)
ช่วง 6 - 15 วัน ให้ใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % โดยเพิ่ม ปริมาณเป็น 15 ซีซี / วัน / 1 ขวด (น้ำสะอาด 1.5 ลิตร)
หลังจาก 15 - 30 วัน ให้ใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % โดยเพิ่ม ปริมาณเป็น 20 ซีซี / วัน / 1 ขวด (น้ำสะอาด 1.5 ลิตร) โดยทั่วไปหลังจาก 30 วัน อาการจะเริ่มดีขึ้น (แต่เฉพาะบางท่านที่สุขภาพร่างกายแข็งแรงมากจะเห็นผลภายใน 7 วันแรกที่ได้ใช้ผลิตภัณฑ์) โดยสามารถสอบถาม  สังเกตได้ว่าปัสสาวะมีความถี่น้อยลงมาก อาการเบาเนื้อเบาตัวอย่างเห็นได้ชัด ตัวอย่าง เช่น ตอนกลางคืนปัสสาวะ 5 ครั้ง จะลดลงเหลือ 3 ครั้ง และ 2 ครั้ง และจนเป็นปกติ หลังจากนั้นให้ลดปริมาณการใช้ คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % เป็น 10 ซีซี ต่อ น้ำ 1.5 ลิตร ดื่มตามการผสมปกติเพื่อปรับสมดุลของร่างกาย ห้ามทานอาหารทำลายกระดูก ได้แก่ น้ำปลา ผงชูรส น้ำอัดลมที่มีสีดำ น้ำตาลทรายขาว รวมถึง ผักและผลไม้ที่ปนเปื้อนยาฆ่าแมลง ห้ามดื่มเครื่องดื่มมีอัลกอฮอร์ เช่น สุรา เบียร์ หากเป็นไปได้เลิกรับประทานเนื้อสัตว์ทุกชนิด อาหารรสเค็มจัด อาหารทะเล ยกเว้นเนื้อปลาทานได้
สามารถใช้ร่วมกับยาแผนปัจจุบันที่รับจากโรงพยาบาลได้โดยใช้ห่างกันครึ่งชั่วโมง
โรคไต (แบบที่ฟอกไตแล้ว) ท่านที่ป่วยเป็นโรคไตมานานหลายปี คุณหมอนัดอาทิตย์ละ 2 ครั้ง และที่คุณหมอห้าม ดื่มน้ำในปริมาณมาก หรือจำกัดปริมาณการดื่มน้ำ เพราะจะเกิดอาการน้ำท่วมปอด โดยเฉพาะคนที่ฟอกไตแล้ว สามารถใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % ได้ แต่ห้ามผสมน้ำดื่ม แต่ให้ใช้หัวเชื้อบริสุทธิ์ เทใส่ขวดสเปรย์ หรือขวดหยอด (Dropper) หยดใต้ลิ้น
ช่วง 1-5 วันแรก ใส่ขวดสเปรย์ปริมาณ 10 ซีซี / วัน โดยการใช้ ให้อมไว้ใต้ลิ้น 3- 5 นาที ทุกๆ 1 ชั่วโมง (ใช้จนหมดขวดสเปรย์)
ช่วง 6-15 วัน ให้ใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % โดยเพิ่มปริมาณเป็น 20 ซีซี / วันโดยการใช้ ให้อมไว้ใต้ลิ้น 3 - 5 นาที ทุกๆ 1 ชั่วโมง (ใช้จนหมดขวดสเปรย์)
หลังจาก 15 วัน ให้ใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % โดยเพิ่มปริมาณเป็น 30 ซีซี / วัน โดยการใช้ ให้อมไว้ใต้ลิ้น 3 - 5 นาที ทุกๆ 1 ชั่วโมง (ใช้จนหมดขวดสเปรย์) ข้อสังเกตหลังจาก 30 วัน อาการจะเริ่มดีขึ้น ก็ให้ใช้อยู่ที่ 30-40 ซีซี ต่อวัน ใช้ขวดสเปรย์ จนกระทั่งผู้ป่วยดีขึ้นจึงเริ่มผสมน้ำ เช่น คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % เป็น 10 ซีซี ต่อ น้ำ 10 ซีซี (การผสมน้ำให้ดูจากอาการผู้ป่วยเป็นหลัก) ห้ามทานผงชูรส น้ำอัดลมที่มีสีดำ ผักและผลไม้ที่ปนเปื้อนยาฆ่าแมลง
          ข้อห้าม ต้องเลิกรับประทานเนื้อสัตว์ทุกชนิด (ยกเว้นเนื้อปลาทานได้) อาหารรสเค็มจัด อาหารทะเล เครื่องดื่มอัลกอฮอร์
สามารถใช้ร่วมกับยาแผนปัจจุบันที่รับจากโรงพยาบาลได้โดยใช้ห่างกันครึ่งชั่วโมง
       34. มีอาการเมาค้าง มึนงง เวียนศีรษะ ผสมคลอโรฟิลล์เข้มข้น 10 ซี.ซี. ในน้ำ 1 แก้วดื่มทันที ภายใน 20 นาทีจะสดชื่นขึ้นมาเอง
       35. โรคเบาหวาน ถ้าต้องการใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์เพื่อช่วยฟื้นฟูสภาพร่างกาย
ดื่มเพื่อปรับสภาพร่างกายในการรับสารอาหารครั้งแรก ให้ใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % โดยใช้ปริมาณ 5 ซีซี ผสมน้ำ 1.5 ลิตร เป็นเวลา 2 - 3 วัน
          เดือนที่ 1 ให้ใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % ปริมาณ 10 ซีซี ผสมน้ำ 1.5 ลิตร ให้ดื่มแทนน้ำทั้งวัน
          เดือนที่ 2 ให้เพิ่มปริมาณคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % โดยใช้ ปริมาณ 20 ซีซี ผสมน้ำ 1.5 ลิตร ให้ดื่มแทนน้ำทั้งวัน
          เดือนที่ 3 ให้เพิ่มปริมาณคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % โดยใช้ ปริมาณ 30 ซีซี ผสมน้ำ 1.5 ลิตร ให้ดื่มแทนน้ำทั้งวัน
          เดือนที่ 4 เมื่อระดับน้ำตาลปรับลดลงสู่สภาวะปกติแล้ว ท่านสามารถลดปริมาณลงเหลือ 10 ซีซี ผสมน้ำดื่มต่อวัน
          ในช่วงแรกสังเกตว่าระดับน้ำตาลในเลือดอาจจะเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม จะใช้เวลาอยู่ช่วงหนึ่ง ในช่วงเวลาของเดือนที่ 1 แต่ไม่ต้องตกใจ เมื่อน้ำตาลในกระแสเลือดถูกสลายหมดแล้ว ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดจะลดลงสู่ระดับปกติ แต่สามารถสังเกตได้ว่าท่านจะไม่เหนื่อยไม่เพลีย
ท่านที่เป็นเบาหวานสะสมมาตั้งแต่ 5 ปี ถึง 20 ปี ระดับน้ำตาลในเลือดจะลดลงในเดือนที่ 2 แต่ถ้าเป็นโรคเบาหวานน้อยกว่า 5 ปี ระดับน้ำตาลในเลือดอาจจะลดลงจนถึงระดับปกติในช่วงประมาณเดือนแรก
ต้องดื่มให้หมดขวด 1.5 ลิตรในแต่ละวัน
         ห้ามทานอาหารทำลายกระดูก ได้แก่ น้ำปลา ผงชูรส น้ำอัดลมที่มีสีดำ ยาฆ่าแมลงจากผัก และผลไม้ กรณีมีแผลที่เกิดจากโรคเบาหวาน ท่านสามารถใช้หัวเชื้อบริสุทธิ์ไม่ต้องผสมน้ำ ใช้หยอดบริเวณแผลที่รักษาไม่หายขาด ที่เกิดจากโรคเบาหวานได้
         สามารถใช้ร่วมกับยาแผนปัจจุบันที่รับจากโรงพยาบาลได้ โดยทิ้งระยะห่างกันครึ่งชั่วโมง
       36. โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจโต หลอดเลือดหัวใจตีบตัน ปวดศีรษะ มึนงง ชาตามแขนขามือเท้า โรคไขมันอุดตันในท่อเลือด ผสมคลอโรฟิลล์เข้มข้น 10 ซี.ซี. กับน้ำสะอาด 1.5 ลิตร ใช้ดื่มวันละ 2ครั้ง คือเวลาตื่นนอนตอนเช้าก่อนแปรงฟัน 1 แก้ว และก่อนเข้านอน 1 แก้ว ทุกวัน ในคลอโรฟิลล์มีสาร"ซาโปนิน"ทำหน้าที่ละลายไขมันที่เกาะตามผนังท่อเลือด
       37. โรคนิ่ว  (โรคนิ่วในถุงน้ำดี,โรคนิ่วในไต) สามารถดื่มได้แต่การช่วยเรื่องนิ่วมีข้อจำกัด และต้องใช้เวลา
-เดือนที่ 1 ให้ใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % ปริมาณ 10 ซีซี ผสมน้ำ 1.5 ลิตร ให้ดื่มแทนน้ำทั้งวัน ต้องดื่มให้หมดขวด
*ผู้ป่วยจะปัสสาวะออกมา ปัสสาวะจะออกขุ่น พร้อมกับมีลิ่มเลือด หลังจาก 15 วันจะสังเกตอาการได้ โดยขึ้นอยู่กับสภาพร่างกายและขนาดของก้อนนิ่ว ว่ามีขนาดเท่าไร ถ้ามีขนาดเล็กก็จะช่วยได้ ถ้ามีขนาดใหญ่ ก็ไม่สามารถช่วยได้ กรณีมีขนาดใหญ่มากให้ใช้การผ่าตัด หรือใช้คลื่นสลายก้อนนิ่ว ให้ปรึกษากับทางโรงพยาบาลเพื่อรับการรักษา* คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ จะช่วยได้แค่ให้มีสภาพร่างกายแข็งแรงและฟื้นฟูสภาพหลังการผ่าตัดได้เร็วเท่านั้น หรือช่วยเฉพาะก้อนนิ่วที่มีขนาดเล็กๆ เท่านั้น
-เดือนที่ 2 ให้ใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % ปริมาณ 20 ซีซี ผสมน้ำ 1.5 ลิตร ให้ดื่มแทนน้ำทั้งวัน ต้องดื่มให้หมดขวด
          ข้อห้ามในการใช้คลอโรฟิลส์ฟื้นฟู
หลีกเลี่ยงการบริโภค ผงชูรส หรืออาหารที่มีผงชูรสปริมาณมากๆ ( เช่น สาหร่ายทะเลแผ่น , บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ) น้ำอัดลมสีดำ น้ำส้มสายชู ของหมักของดอง (เช่น ปลาร้า หน่อไม้ ผักกาดดอง เป็นต้น) ยาฆ่าแมลงจากผัก น้ำตาลทรายขาวให้ใช้น้ำตาลทรายแดง
          38. ติดเชื้อ HIV ป่วยด้วยอาการโรคแทรกซ้อนจากการติดเชื้อ HIV ถ้าต้องการดื่มคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์เพื่อช่วยฟื้นฟูสภาพร่างกาย จะต้องดื่มดังนี้
          เดือนที่ 1 ให้ใช้สารสกัดคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % ปริมาณ 30 ซีซี ผสมน้ำ 1.5 ลิตร ให้ดื่มแทนน้ำทั้งวัน
          โรคเอดส์ เป็นโรคที่เกิดจากการติดเชื้อ ไม่ใช่โรคที่เกิดจากการเสื่อมของร่างกาย แต่สามารถใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ฟื้นฟูได้จากประสบการณ์ การใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์กับผู้ที่ติดเชื้อโรคนี้จะไม่กำหนดระยะเวลาในการดื่มเพื่อฟื้นฟูสภาพร่างกาย โดยการใช้นั้นจะให้ดื่มไปเรื่อยๆ อย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งมีสภาพร่างกาย และภูมิคุ้มกันที่ดีขึ้น คุณสามารถสังเกตได้จากค่า CD 4 ที่เพิ่มขึ้นตามลำดับ โดยสามารถเปรียบเทียบค่าก่อนเริ่มดื่ม และหลังจากดื่มคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ผ่านไปโดยสามารถทดสอบได้หลังจากเดือนแรก ให้สังเกตได้จากอาการป่วยที่เคยเป็นจะลดน้อยลง และมีค่า CD 4 สูงขึ้นและจะมากขึ้นเรื่อยๆ ในเดือนต่อๆ มา
          เมื่อร่างกายของท่านเข้าสู่สภาวะปกติให้ลดปริมาณ สารสกัดคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ เหลือเป็น 10 ซีซี ต่อน้ำ 1.5 ลิตร
ในช่วงแรกหลังจากดื่มคลอโรฟิลล์จะมีการตอบโต้การบำบัดโรค หรืออาการกระทุ้งโรค โดยปวดเมื่อยทั้งตัว บางรายมีไข้อยู่หลายวัน บางรายมีอาการง่วงซึมทั้งวัน นั้นแสดงว่าท่านใช้ได้ผลเป็นอย่างดี ให้พยายามทนดื่มต่อไป หลังจากนั้นเมื่อระยะเวลามากกว่า 1 เดือน อาการทุกอย่างจะดีขึ้น
          ข้อห้าม
ห้ามทานผงชูรส น้ำอัดลมที่มีสีดำ ยาฆ่าแมลงจากผักและผลไม้
ห้ามทานผักที่มีเมือกมาก
ถ้าเลี่ยงได้ ห้ามทานปลา 5 ชนิดได้แก่ ปลาสลิด ปลาดุก ปลาสวาย ปลาไหล ปลานิล
ตัวอย่างผู้ป่วยให้สอบถามได้ที่ คุณอ้อย เจษฎากร สุยะวาด โทร. 081-6394399
          39. โรคไทรอยด์ แบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ
                1. โรคไทรอยด์ (แบบเป็นพิษ) ใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % ให้ผสมน้ำ ดื่มได้ตามปกติ
ช่วง 1-5 วันแรก ให้ผสมน้ำ ปริมาณ 10 ซีซี / วัน / 1 ขวด (น้ำสะอาด 1.5 ลิตร)
ช่วง 6 - 15 วัน ให้ใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % โดยเพิ่ม ปริมาณเป็น 15 ซีซี / วัน / 1 ขวด (น้ำสะอาด 1.5 ลิตร)หลังจาก 15 - 30 วัน ให้ใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % โดยเพิ่ม ปริมาณเป็น 20 ซีซี / วัน / 1 ขวด (น้ำสะอาด 1.5 ลิตร) และให้เพิ่มใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ เทใส่ขวดสเปรย์ หรือขวดหยอด (Dropper) หยดใต้ลิ้น อมไว้ 3-5 นาที แล้วจึงกลืน ใช้ใส่ขวดสเปรย์ (ขนาด 10 ซีซี ) เช้า ½ ขวด และ ตอนเย็น ½ ขวด ก่อนอาหาร  
          โดยทั่วไปหลังจาก 30 วัน อาการจะเริ่มดีขึ้น (แต่เฉพาะบางท่านที่สุขภาพร่างกายแข็งแรงมาก จะเห็นผลภายใน 15 วันแรกที่ได้ใช้ผลิตภัณฑ์) อาการทุกอย่างจะทุเลาดีขึ้นตามลำดับถ้าเป็นไปได้
          งดการรับประทานเนื้อสัตว์ทุกชนิด ยกเว้นเนื้อปลาทานได้ ห้ามดื่มเครื่องดื่มมีอัลกอฮอร์ น้ำอัดลมมีสีดำ น้ำตาลทรายขาว งดการรับประทานของหมักของดอง แตงโมเนื้อแดงๆ
สามารถใช้ร่วมกับยาแผนปัจจุบันที่รับจากโรงพยาบาลได้โดยใช้ห่างกันครึ่งชัวโมง
                2. โรคไทรอยด์ (แบบไม่เป็นพิษ) ใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % ให้ผสมน้ำ ดื่มได้ตามปกติ
ช่วง 1-5 วันแรก ให้ผสมน้ำ ปริมาณ 10 ซีซี / วัน / 1 ขวด (น้ำสะอาด 1.5 ลิตร) ช่วง 6 - 15 วัน ให้ใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % โดยเพิ่ม ปริมาณเป็น 15 ซีซี / วัน / 1 ขวด (น้ำสะอาด 1.5 ลิตร) หลังจาก 15 - 30 วัน ให้ใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % โดยเพิ่ม ปริมาณเป็น 20 ซีซี / วัน / 1 ขวด (น้ำสะอาด 1.5 ลิตร)
          โดยทั่วไปหลังจาก 30 วัน อาการจะเริ่มดีขึ้น (แต่เฉพาะบางท่านที่สุขภาพร่างกายแข็งแรงมาก จะเห็นผลภายใน 15 วันแรกที่ได้ใช้ผลิตภัณฑ์) สังเกตได้ว่าไม่เหนื่อยไม่เพลีย ถ้าเป็นไปได้งดการรับประทานเนื้อสัตว์ทุกชนิด ยกเว้นเนื้อปลาทานได้
          ห้ามดื่มเครื่องดื่มมีอัลกอฮอร์ น้ำอัดลมที่มีสีดำ น้ำตาลทรายขาว งดการรับประทานของหมักของดอง แตงโมเนื้อแดงๆ
สามารถใช้ร่วมกับยาแผนปัจจุบันที่รับจากโรงพยาบาลได้โดยใช้ห่างกันครึ่งชั่วโมง
          40. โรคลูคีเมีย หรือมะเร็งเม็ดเลือด แบ่งออกเป็น 2 ชนิดใหญ่ ๆคือ
1. มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลัน (Acute leukemias) เกิดจากการเพิ่มจำนวนของเซลล์เม็ดเลือดตัวอ่อนอย่างรวดเร็ว ซึ่งส่งผลให้ไขกระดูกไม่สามารถสร้างเซลล์เม็ดเลือดที่ปกติได้ มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเฉียบพลันมักเกิดกับเด็ก โดยผู้ป่วยจะต้องได้รับการรักษาอย่างรวดเร็ว ถ้าหากไม่ได้รับการรักษาอาจจะทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตภายในไม่กี่เดือน
2. มะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรัง (Chronic leukemia)  เกิดจากการที่ร่างกายสร้างเซลล์เม็ดเลือดที่ผิดปกติออกมาเป็นจำนวนมากกว่าเซลล์เม็ดเลือดที่ปกติ ส่งผลให้ผู้ป่วยมีเซลล์เม็ดเลือดที่ผิดปกติในร่างกายเป็นจำนวนมาก โดยปกติแล้วมะเร็งเม็ดเลือดขาวชนิดเรื้อรัง มักจะเกิดขึ้นกับผู้ใหญ่ในหลาย ๆ ช่วงอายุ
โรคลูคีเมีย หรือมะเร็งเม็ดเลือด ให้ใช้สารสกัดคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ ปริมาณ 10 ซีซี ผสมน้ำ 1.5 ลิตร ดื่มแทนน้ำตลอดทั้งวัน
          เดือนที่ 1 หลังจากดื่มจะสังเกตุได้ว่า อาการจ้ำเลือดบริเวณผิวหนังจะลดน้อยลง อาการป่วยด้วยโรคต่างๆ ลดน้อยลง สามารถนั่งรถในระยะทางไกลๆ หรือขับรถไปไกลๆ ได้ โดยไม่อ้วกหรืออาเจียน อาการป่วยและอาการตัวเย็นก็จะลดความถี่ลง
          ห้ามทาน น้ำปลา ผงชูรส น้ำอัดลมที่มีสีดำ ผักและผลไม้ที่ปนเปื้อนยาฆ่าแมลง
          41. เป็นโรคหัวใจ ให้ใช้สารสกัดคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ ปริมาณ 15 ซีซี ผสมน้ำสะอาด 1.5 ลิตร ดื่มแทนน้ำตลอดทั้งวัน
     สัปดาห์ที่ 1 ให้ใช้สารสกัดคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % ปริมาณ 10 ซีซี ผสมน้ำ 1.5 ลิตร ให้ดื่มแทนน้ำทั้งวันต้องดื่มให้หมดขวด
     *หลังจากรับประทานไปแล้ว ประมาณ 3 -7 วัน ผู้ที่มีอาการของโรคหัวใจมาก กว่า 70 % ขึ้นไป จะมีอาการจุกแน่นที่หน้าอก จุกแน่นที่ลิ้นปี่ ครั่นเนื้อครั่นตัว มีอาการไข้ แสดงว่าท่านมีโรคมากกว่า 1 อย่างคือ เป็นโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือดร่วมด้วย ไม่ต้องตกใจให้ดื่มต่อไป ถ้ามีอาการดังกล่าวเกิดขึ้น ให้ผสมสารสกัดคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 5 ซีซี ต่อ น้ำ ครึ่งแก้ว (120 ซีซี) ดื่มร่วมด้วย
     *สำหรับบางท่านถ้าดื่มแล้ว มีอาการสดชื่น และหายใจโล่ง ไม่เหนื่อยไม่เพลีย แสดงว่าท่านสภาวะโรคหัวใจของท่านน้อยมาก การฟื้นฟูจะทำได้รวดเร็ว*
     -สัปดาห์ที่ 2 ให้เพิ่มปริมาณสารสกัดคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % โดยใช้ปริมาณ 20 ซีซี ผสมน้ำ 1.5 ลิตร ให้ดื่มแทนน้ำทั้งวัน ต้องดื่มให้หมดขวด
     *ในขั้นนี้จะสังเกตว่า ปฏิกิริยาโต้ตอบการบำบัด หรือ อาการกระทุ้งโรค เริ่มลดน้อยลง จะมีอาการจุกแน่นที่หน้าอก จุกแน่นที่ลิ้นปี่ ครั่นเนื้อครั่นตัว มีอาการไข้ จะลดลงมาก*
      สัปดาห์ที่ 3 -4 ให้เพิ่มปริมาณสารสกัดคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % โดยใช้ปริมาณ 30 ซีซี ผสมน้ำ 1.5 ลิตร ให้ดื่มแทนน้ำทั้งวัน ต้องดื่มให้หมดขวด
      เดือนที่ 1 - 3 ในระยะนี้จะดื่มจนกว่าอาการทุกอย่างลดลงจนเป็นปกติซึ่งผู้ป่วยจะทราบได้เอง ให้ลดปริมาณสารสกัดคลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % โดยใช้ ปริมาณ 10 ซีซี ผสมน้ำ 1.5 ลิตร ดื่มแทนน้ำทั้งวัน
      ข้อควรงดในการใช้สารสกัดคลอโรฟิลส์บริสุทธิ์
1. แตงโมเนื้อแดงๆ องุ่น ลำใย เนื่องจากมีการใช้ยาฆ่าแมลงมากและมีการตกค้างสูง
2. ผงชูรส หรืออาหารที่มีผงชูรสปริมาณมากๆ ( เช่น สาหร่ายทะเลแผ่น ,บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ) น้ำอัดลมสีดำ น้ำส้มสายชู ของหมักของดอง (เช่น ปลาร้า หน่อไม้ ผักกาดดอง เป็นต้น) ยาฆ่าแมลงจากผัก ถ้ารับประทานผักให้รับประทานผักปลอดสารพิษ น้ำตาลทรายขาว(ให้ใช้น้ำตาลทรายแดงแทน)
     42. โรคมะเร็งปากมดลูก หรือเป็นระยะสุดท้าย นั่งใกล้ใครไม่ได้มีกลิ่นเหม็นตลอด
ให้ใช้ชุดใหญ่ คลอโรฟิลล์ ขวดใหญ่ (473 ซีซี) 3 ขวด , แองเจิ้ล (Angel) 3 กล่อง
      สัปดาห์แรก ช่วง 2 – 5 วันแรก ให้ใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % ปริมาณ 5 ซีซี ผสมน้ำ 1.5 ลิตร ให้ดื่มแทนน้ำทั้งวันต้องดื่มให้หมดขวด ก่อนนอนให้ใช้แองเจิ้ล (Angel) รับประทาน 2 เม็ดก่อนนอน
      เดือนที่ 1 ให้ใช้คลอโรฟิลล์บริสุทธิ์ 100 % ปริมาณ 30 ซีซี ผสมน้ำ 1.5 ลิตร ให้ดื่มแทนน้ำทั้งวันต้องดื่มให้หมดขวด ก่อนนอนให้ใช้แองเจิ้ล (Angel) รับประทาน 2 เม็ดก่อนนอน
      เดือนที่ 2 ให้ลดปริมาณคลอโรฟิลล์บริสุทธ์ 100 % โดยใช้ ปริมาณ 20 ซีซี ผสมน้ำ 1.5 ลิตร ให้ดื่มแทนน้ำทั้งวันต้องดื่มให้หมดขวด ก่อนนอนให้ใช้แองเจิ้ล (Angel) รับประทาน 2 เม็ดก่อนนอน
      เดือนที่ 3 ให้ลดปริมาณคลอโรฟิลล์บริสุทธ์ 100 % โดยใช้ ปริมาณ 10 ซีซี ผสมน้ำ 1.5 ลิตร ให้ดื่มแทนน้ำทั้งวันต้องดื่มให้หมดขวด ก่อนนอนให้ใช้แองเจิ้ล (Angel) รับประทาน 2 เม็ดก่อนนอน
      เดือนที่ 4 - 6 ให้ใช้ปริมาณคลอโรฟิลล์บริสุทธ์ 100 % โดยใช้ปริมาณ 10 ซีซี ผสมน้ำ 1.5 ลิตร ให้ดื่มแทนน้ำทั้งวัน ต้องดื่มให้หมดขวด ก่อนนอนให้ใช้แองเจิ้ล (Angel) รับประทาน 2 เม็ดก่อนนอน
     * หลังจากเดือนที่ 6 ให้ท่านตรวจเชื้อมะเร็งปากมดลูกอีกครั้ง*
สำหรับตัวอย่างผู้ป่วย คุณขวัญ อยู่ฝั่ง สปป. ลาว เป็นมะเร็งปากมดลูกระยะสุดท้าย รักษาที่ รพ. ฝั่งไทย เบอร์ที่สอบถามอาการได้ ก็ โทร. 086- 2656083 และ โทร. 085-620-3387058 (สปป.ลาว)
      ข้อห้ามในการใช้สารสกัดบริสุทธิ์ในการฟื้นฟูโรคมะเร็งใน 3 เดือนแรก
1. ห้ามทานเนื้อสัตว์ทุกชนิด ยกเว้นเนื้อปลา
2. แต่ห้ามทานปลาดังต่อไปนี้ คือ ปลาสลิด ปลาไหล ปลาดุก ปลาสวาย ปลานิล
3. พยายามหลีกเหลี่ยง นมสัตว์ทุกชนิด แต่ทานน้ำนมข้าวได้
4. ผักมีเมือกมาก
5. ของสุกมากๆ และอาหารไหม้เกรียม ของร้อนมาก เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก ต้มจับฉ่าย
6. งดรับประทาน แตงโมเนื้อแดงๆ องุ่น ลำใย เนื่องจากมีการใช้สารเคมีมากและมีสารตกค้างสูง
7. หลีกเลี่ยงการใส่ผงชูรสในอาหาร หรืออาหารที่มีผงชูรสปริมาณมากๆ ( เช่น สาหร่ายทะเลแผ่น ,เครื่องปรุงบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ) น้ำอัดลมสีดำ น้ำส้มสายชู ของหมักของดอง (เช่น ปลาร้า หน่อไม้ ผักกาดดอง เป็นต้น) ยาฆ่าแมลงจากผัก งดการบริโภคน้ำตาลทรายขาวแต่ให้ใช้น้ำตาลทรายแดงแทน
8. ยาต้มทุกชนิด
      43. โรคนอนไม่หลับ -หลับยากมาก หลับไม่ต่อเนื่อง หลับๆ ตื่นๆ อาจจะต้องลุกมาเดินบ่อยๆ นอนหลับแต่จะตื่นเช้ามากกว่าที่ต้องการและจะไม่สามารถนอนต่อได้ อ่อนเพลีย ขาดสมาธิ อารมณ์เสีย
          สาเหตุของโรคนอนไม่หลับ
1. โรคนอนไม่หลับอาจเกิดจากปัจจัยมากระทบ เช่น การเดินทางไปเปลี่ยนสถานที่พัก อาการปวด ความเครียด ความกดดันทางจิตใจ บรรยากาศที่นอนไม่ดี เช่น มีเสียงดัง เผชิญปัญหาชีวิต และอื่นๆ และเมื่อปัญได้รับการแก้ไข อาการนอนไม่หลับก็จะดีขึ้นจนเป็นปกติ
2. โรคนอนไม่หลับอาจจะถูกกระตุ้นด้วยปัจจัยอื่นๆ คือ คาเฟอีนและสารกระตุ้นประสาทอื่นๆที่ได้รับระหว่างวัน เช่น ชา กาแฟ หรือ ยาบางชนิด เครื่องดื่มที่มีอัลกอฮอล์จะทำให้ร่างกายหลับไม่ปกติ เช่น ทำให้ตื่นบ่อย หลับไม่สนิท หลับๆ ตื่นๆ
3. โรคบางชนิดก็ทำให้เกิดอาการนอนไม่หลับ เช่น โรคหัวใจ ปอด Hyperthyroidism โรคปวดไขข้อ เป็นต้น นอกจากนี้ โรคต่อมลูกหมากโต โรคไต เบาหวาน ก็เป็นเหตุให้นอนหลับๆ ตื่นๆ หลับไม่ปกติ เพราะอาจจะต้องลุกขึ้นมาปัสสาวะกลางดึกบ่อยๆ

     ผสมคลอโรฟิลล์เข้มข้น 10 ซี.ซี. กับน้ำสะอาด 1.5 ลิตร ใช้ดื่มวันละ 2 ครั้ง คือเวลาตื่นนอนตอนเช้าก่อนแปรงฟัน 1 แก้ว และก่อนเข้านอน 1 แก้ว ทุกวัน ในช่วง 1 - 3 วันแรก จะรู้สึกหายใจโล่งอก นอนหลับลึก สำหรับท่านที่เป็นความดัน เบาหวาน โรคตับ ในสัปดาห์แรก ช่วงตอนกลางวันจะรู้สึกหาวนอน อาการนอนไม่หลับจะดีขึ้น สำหรับท่านที่มีโรคต่อมลูกหมาก ให้ใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์แองเจิ้ล (Angel) 2 เม็ดก่อนนอนในช่วง 7 วันแรก และให้ลดลงเป็น Angel 1 เม็ดทุกวันหลังจากนั้น  อาการจะดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
     สามารถใช้ร่วมกับยาแผนปัจจุบัน ที่รับจากโรงพยาบาลได้ โดยใช้ห่างกันครึ่งชั่วโมง