ประโยชน์ของคลอโรฟิลล์

คลอโรฟิลล์มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างไร
ประโยชน์หลักของคลอโรฟิลล์จาก Alfalfa  ที่มีการใช้อย่างแพร่หลายคือ
► วิตามิน K ใน คลอโรฟิลล์ จะช่วยป้องกันอาการคลื่นเหียน อยากอาเจียนได้
►  คลอโรฟิลล์  ยังมีสาร fluoride และ แคลเซียม ที่ช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงในกระดูก และป้องกันฟันผุ
► ส่วนสาร betacareotene ยังเป็นประโยชน์ส่งเสริมระบบภูมิคุ้มกันโรค ผิวหนังและเยื่อบุผิวให้มี สุขภาพ ที่ดี
► คลอโรฟิลล์ของAlfalfa อุดมไปด้วย แคลเซียม วิตามิน C ,B12 และ bioflavinoid ซึ่งเป็นแหล่งอาหารที่มีประโยชน์ต่อผู้ที่รับประทานอาหารมังสวิรัตเป็นอย่างมาก
► สาร saponin ที่พบในคลอโรฟิลล์ มีลักษณะเดียวกันกับที่พบในราก โสม ซึ่งอาจช่วยหรือส่งเสริมให้การทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อหัวใจทำงานได้อย่างเหมาะสม
► สาร Chlorophyll จะช่วยในการดับกลิ่นปากและกลิ่นตัว ต่อต้านความเป็นกรดเปรี้ยวของร่างกาย และช่วยดูแลแบคทีเรียชนิดดีที่ช่วยในการย่อยภายในลำไส้อีกด้วย
► ไฟเบอร์ตามธรรมชาติที่มีอยู่มากใน  คลอโรฟิลล์  จะช่วยฟื้นฟูภาวะลำไส้อ่อนแอ นอกจากนี้ ไฟเบอร์ ยังช่วยในการลำเลียงของเสียที่อยู่ภายในลำไส้ออกจากระบบได้เป็นอย่างดี ทำให้หลอดลำไส้มีสุขภาพที่ดีขึ้น
►  คลอโรฟิลล์ ยังมีส่วนช่วยฟื้นฟู บรรเทาคนไข้ที่อยู่ในภาวะติดสารเสพติดหรือแอลกอฮอล์ได้
►  คลอโรฟิลล์ มีสาร carotene ที่ช่วยสร้างหรือซ่อมแซมเซลล์ภายในร่างกายใหม่ ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อผู้ป่วยที่เป็นโรค มะเร็ง ที่ต้องการฟื้นฟูเซลล์ที่ถูกทำลายไป
 คลอโรฟิลล์ กับการใช้เพื่อสุขภาพสตรีวัยใกล้หมดประจำเดือน
สตรีวัยใกล้หมดประจำเดือน ควรรับประทาน คลอโรฟิลล์ เป็นประจำ สาร isoflavone ใน  คลอโรฟิลล์ ถูกจัดเป็นเอสโตรเจนธรรมชาติ (phytooestrogen) ในสตรีในวันใกล้หมดประจำเดือน เอสโตรเจนจะลดต่ำลงส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของสภาพร่างกายและภาวะกระดูกเสื่อม ไฟโต-เอสโตรเจนในคลอโรฟิลล์ จะเข้าไปชดเชยเอสโตรเจนที่ต่ำลงนี้ รวมทั้ง วิตามินดี แร่ธาตุ แคลเซียมและฟอสฟอรัสในคลอโรฟิลล์ ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่ทำให้กระดูกฟันแข็งแรง จึงลดความเสี่ยงที่จะเกิดภาวะกระดูกเสื่อม นอกจากนี้วิตามินและแร่ธาตุในคลอโรฟิลล์ จะช่วยให้ร่างกายปรับสภาพได้อย่างเหมาะสม ลดอาการผิดปรกติในช่วงนี้ของอายุ เช่น อาการร้อนวูบวาบตามตัว หงุดหงิดง่าย 
 คลอโรฟิลล์กับภาวะ คลอเลสเตอรอล สูง
จากการศึกษาในห้องทดลองพบว่า สาร saponin และส่วนประกอบอื่นในคลอโรฟิลล์ มีความสามารถในการยึดติดใน คลอเลสเตอรอล กับเกลือน้ำดีซึ่งจะเป็นผลช่วยป้องกันหรือชลอการดูดซึม คลอเลสเตอรอล จากอาหาร ดังนั้นจึงช่วยให้ระดับ คลอเลสเตอรอล ในเลือดต่ำ ป้องกันการเกิดภาวะการสะสมไขมันในหลอดเลือด ในการศึกษาผู้ป่วย 15 คน โดยให้ Alfalfa ขนาด 40 กรัม 3 ครั้งต่อวันเป็นเวลา 8 สัปดาห์ พบว่า คนไข้มีระดับ คลอเลสเตอรอล รวมและ คลอเลสเตอรอล แบบ LDL (คลอเลสเตอรอล ชนิดเป็นโทษ) ลดลง 17-18% ในขณะที่มีบางส่วนลดลงถึง 26-30% จึงอาจกล่าวได้ว่าคลอโรฟิลล์มีส่วนช่วยในการควบคุมระดับความเข้มข้นของ คลอเลสเตอรอล ให้เป็นปกติ
คลอโรฟิลล์ ช่วยทำความสะอาดผิวจากภายใน
วิตามิน และแร่ธาตุที่มีอยู่ในคลอโรฟิลล์ ด้วยปริมาณที่เหมาะสม จะทำหน้าที่ขจัดของเสีย สารพิษออกจากเลือดและอวัยวะภายใน (Blood and Bowel cleanser) ลดการตกค้างของเสียตามผิวหนัง ทำให้เลือดสะอาดและไหลเวียนได้ดีขึ้นเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่รับประทานมาก และ ชอบรับประทานเนื้อสัตว์ เมื่อเลือดดีขึ้นทำให้ผิวพรรณผ่องใสมีสุขภาพที่ดีตามมา นอกจากนี้ในคลอโรฟิลล์ ยังมีสาร ไฟโต-เอสโตรเจน ช่วยปรับสมดุลย์ฮอร์โมนในร่างกาย ซึ่งพบว่าในคนที่มีสิวง่าย เมื่อรับประทานคลอโรฟิลล์ ปริมาณการเกิดสิวจะลดลงและผิวจะดูสะอาดขึ้น
คลอโรฟิลล์ กับโรคกระเพาะอาหาร
มีแพทย์จำนวนมากที่ใช้คลอโรฟิลล์ รักษาโรคที่เกี่ยวกับกระเพาะอาหารต่าง ๆ เช่น มีแก๊สมากในกระเพาะอาหารเกิดอาการจุกเสียดเป็นประจำ โรคแผลในกระเพาะอาหาร และโรคเบื่ออาหาร โดยพบว่า  คลอโรฟิลล์มีวิตามินยู ซึ่ง ดร. กาเนนท์ อาจารย์ประจำมหาวิทยาลัย สแตนฟอร์ด กล่าวว่า วิตามินยู มีศักยภาพสูงในการรักษาโรคกระเพาะ ทำให้การสมานแผลในกระเพาะดีขึ้น และการหลั่งของน้ำย่อยเป็นปกติ
            คลอโรฟิลล์ ยังมีเอ็นไซม์ Bataine ซึ่งเป็นเอ็นไซม์สำหรับย่อยและเอ็นไซม์อื่น ๆ อีก 7 ชนิดที่ส่งเสริมปฏิกิริยาเคมีที่สามารถทำให้การดูดซึมสารอาหารภายในร่างกายเป็นไปอย่างถูกต้องและเหมาะสม รวมทั้งการมี เบต้าแคโรทีน ในปริมาณสูงของคลอโรฟิลล์ จะทำให้ผิวที่เคลือบกระเพาะอาหารมีความแข็งแรง ซึ่งพบว่า  คลอโรฟิลล์ สามารถช่วยโรคกระเพาะอาหาร ปวดท้องเพราะมีแก๊สมาก รักษาแผลในกระเพาะลำไส้ ได้เป็นอย่างดี การรักษาโรคของหญ้า คลอโรฟิลล์นี้อาจจะเป็นในลักษณะเดียวกันกับวิธีทางธรรมชาติของแมวหรือสุนัข ที่มักจะกินหญ้าเพื่อบรรเทาโรคกระเพาะของมันได้
ปวดข้อ ข้อแข็ง รูมาตอยด์ แก้ไขได้ด้วย คลอโรฟิลล์
สารอาหารในคลอโรฟิลล์ จะช่วยปรับสมดุลย์ กรด-ด่าง ในร่างกาย ป้องกันการสะสมของกรดยูริคและกรดอื่น ๆ ตามข้อต่อต่าง ๆ ในหนังสือของ แคทเทอรีน เอลวูล ชื่อ Feel Like a Million ได้กล่าวว่า “ความมหัศจรรย์ของ คลอโรฟิลล์ เห็นได้อย่างชัดเจนมากขึ้น เมื่อให้คนไข้รูมาตอยด์ ใช้  คลอโรฟิลล์ เพื่อรักษาความปวดตามข้อ ก็ได้รับรายงานจากคนไข้ว่าสามารถงอมือได้สะดวกยิ่งขึ้นและความเจ็บปวดก็หายไป
            นอกจากนี้  คลอโรฟิลล์ยังดีสำหรับมารดาที่กำลังให้นมบุตร ช่วยเพิ่มการหลั่งของน้ำนม  คลอโรฟิลล์ ยังมีคุณสมบัติในการช่วยขับถ่าย ปัสสาวะให้เป็นปกติได้อีกด้วย
คลอโรฟิลล์ กับโรค มะเร็ง
มีการศึกษาทั้งในมนุษย์ สัตว์ และระบบเชื้อเพาะเลี้ยงพบว่า สาร phytoestrogens มีบทบาทที่สำคัญในการป้องกันโรค มะเร็ง ได้ โดยสารที่จัดว่าเป็นสารประเภท phytoestrogens จะรวมถึง isoflavones, coumestans, และ lignans ซึ่งมีใน คลอโรฟิลล์ จะก่อประโยชน์และป้องกันการเกิดโรคมะเร็งในร่างกายเราได้เป็นอย่างดี

บุคคลที่ควรได้รับการฟื้นฟูสุขภาพด้วย คลอโรฟิลล์บริสุทธิ 100%
► ผู้ที่มีอาการอ่อนเพลียอยู่เสมอ เหนื่อยง่าย ผอมซูบซีด ปากเขียวคล้ำ เล็บมือเขียวคล้ำ ผู้มีปัญหา เกี่ยวกับระบบเลือด
► ผู้สูงอายุ ผู้ป่วยระยะพักฟื้นหลังผ่าตัดที่มีการสูญเสียเลือดมาก สตรีหลังมีประจำเดือน
► ผู้ที่ต้องการกำลังงานจากก๊าซออกซิเจนมาก เช่น นักกีฬา หรือผู้ออกกำลังอย่างหนัก
► ผู้ที่มีความเสี่ยงต่อภาวะผิดปกติจากการเสื่อมของร่างกาย
► ผู้ที่ต้องการป้องกันภาวะความเสี่ยงต่อโรคต่างๆ หรือการขับสารพิษที่คาดว่าจะมีการสะสมในร่างกาย
► ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบความดันโลหิตสูง ไขมันในเส้นเลือดสูง เส้นเลือดตีบ
► ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับความดันต่ำ หน้ามืดบ่อย อึดอัดหน้าอก หายใจไม่เต็มอิ่ม ใจสั่นหวิว กลัวเสียงดัง หนาวในอก มือเท้าเย็น อารมณ์เสียง่าย
► ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบเลือด เช่น เกล็ดเลือดต่ำ เลือดจาง ปรับสมดุลของเลือด ล้างสารพิษ บำรุงเลือด
► ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบน้ำตาลในเลือดสูง สำหรับกรณีผู้ป่วยที่เป็นเบาหวาน
► มีอาการปวดข้อ ปวดเมื่อยตามตัว
► ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับท้องผูก และระบบขับถ่าย
► ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับอาการปวดท้องเนื่องจากโรคกระเพาะ มีลมในกระเพาะ สภาวะกรดไหลย้อน
► ผู้ที่มีปัญหามีกลิ่นตัว กลิ่นเท้า
► ผู้ที่มีอาการชาบวม และมีปัญหาเรื่องเส้นเลือดขอด
► อาการแผลอักเสบ แผลเปื่อย แผลเรื้อรัง แผลถลอก เหงือกอักเสบ และแผลในปาก
► โรคประจำตัวปวดศีรษะเป็นประจำ และปวดศีรษะจากไมเกรน
► มีปัญหาการหลุดร่วงของเส้นผม
► มีปัญหาเกี่ยวกับอาการโรคภูมิแพ้ ไซนัส หรือโรคเรื้อรัง แผลเรื้อรัง แผลเน่าอักเสบ แพ้สารพิษ หรือแพ้สารเคมีอย่างรุนแรง
► มีปัญหาเกี่ยวกับการเสื่อมของระบบเม็ดเลือดแดง เม็ดเลือดขาว
► ปัญหาเกี่ยวกับสิวฝ้า ปวดประจำเดือน ประจำเดือนมาไม่ปกติ ประจำเดือนมามาก
► โรคกระดูกผุ กระดูกเสื่อม เนื่องจากความไม่สมดุลของแคลเซี่ยม โรคข้อ เก๊าต์ รูมาตอยด์ ปวดข้อตึง เหยียดขาไม่ได้ อาการปวดหลังเนื่องจากหมอนรองกระดูกเสื่อม
► ผู้ที่เป็นโรคตา ต้อกระจก ต้อลม น้ำตาไหล ตาฟาง ปวดตา ตาอักเสบ มีปัญหาเรื่องการมองเห็น
► ผู้ป่วยระยะพักฟื้น
► คนสูงอายุที่เหนื่อยง่าย แขนขาไม่มีแรง มึนงง เบื่ออาหาร นอนไม่หลับ หูอื้อ ลุกนั่งเวียนหัว หน้ามืด อ่อนเพลีย ไม่มีแรง ลมหายใจหนัก